หลักสูตรล้างพิษตับและลำไส้แห่งสันติอโศกในเวลานี้ นอกจากจะเป็นหลักสูตรที่มีคิวยาวถึงปีหน้าทุกสถานปฏิบัติธรรมและโรงเรียนผู้นำแล้ว ทราบว่าเดี๋ยวนี้พันธมิตรประชาชนในแต่ละจังหวัดก็ได้จัดกิจกรรมล้างพิษตับหลังจากที่ได้มีผู้ที่ได้ไปเข้าฝึกอบรมกันกว้างขวางมากขึ้น
การล้างพิษในต่างประเทศได้ถูกผสมและผสานกับภูมิปัญญาแพทย์แผนไทย ทำให้หลักสูตรการล้างพิษตับของชาวสันติอโศกได้รับการกล่าวขานถึงกันมากขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ
โดยหลักการสำคัญในการล้างพิษตับสามารถแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนสำคัญคือ
1. อดอาหารเพื่อให้กลไกในร่างกายหยุดใช้พลังงานเพื่อการย่อยอาหาร และเตรียมตัวที่จะนำสิ่งตกค้างและสารพิษออกจากร่างกาย เปรียบเสมือนการปิดโรงงาน หยุดการผลิตเพื่อเตรียมตัวทำความสะอาดใหญ่ในโรงงาน
2. ทำการล้างลำไส้ โดยใช้สมุนไพรในการขับถ่ายมูกเมือก ดูดซับพิษในลำไส้ และขับพิษออกจากลำไส้โดยการดีท็อกซ์ จนแน่ใจว่าไม่มีอะไรตกค้างในลำไส้แล้ว
3. เมื่อดำเนินการ 2 ขั้นตอนข้างต้นแล้ว จึงดื่มดีเกลือและตามด้วยน้ำมันมะกอกและน้ำมะนาวในช่วงเวลา 4 ทุ่ม และดีท็อกซ์ออกในช่วง 10.30 น.ในสายของวันรุ่งขึ้น ทำให้เชื่อได้ว่าสิ่งที่ออกมานั้นน่าจะออกมาจากตับและถุงน้ำดี
แม้จะมีผลลัพธ์และกรณีศึกษามากมายว่าผู้ที่เข้าทำการล้างพิษตับได้มีการอาการดีขึ้นจากความเจ็บป่วย แต่ก็มักจะมีผู้ที่ยังมีความไม่แน่ใจ สงสัย ว่าจะมีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์หรือในทางการแพทย์แผนปัจจุบันอย่างไรได้บ้าง?
แต่ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องไม่ง่ายนัก เพราะแพทย์แผนปัจจุบันส่วนใหญ่คุ้นเคยอยู่กับเทคโนโลยีทางการแพทย์ และยาเคมีในสิ่งที่ตัวเองร่ำเรียนมามากกว่า หลายคนต่อต้านแพทย์ทางเลือกเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นจะมีแพทย์แผนปัจจุบันสักกี่คนที่จะมาแสวงหาคำตอบในการล้างพิษตับของชาวอโศกได้
รศ.ดร.สำเริง รัตนระพี จากภาควิชาพยาธิวิทยา (Department of Pathology) คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นอาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพยาธิวิทยาระบบทางเดินปัสสาวะ ได้เข้าทำการล้างพิษตับของชาวสันติอโศกไปแล้วทั้งหมด 3 ครั้ง ครั้งแรกที่เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี(ของคุณกอบ พันธมิตรฯที่สมุย) ครั้งที่สองที่สถานปฏิบัติธรรมของสันติอโศก และครั้งที่ 3 ได้มาล้างพิษตับเองที่บ้าน ได้ให้ความเห็นกับการล้างพิษตับและลำไส้เอาไว้ได้อย่างน่าสนใจ
รศ.ดร.สำเริง รัตนระพี ได้ให้ความเห็นเอาไว้ว่าความจริงการออกกำลังกายจะช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรงมีภูมิต้านทานโรคต่างๆ ได้ แต่การล้างพิษตับก็เหมือนกับการฟื้นฟูสภาพตับให้มีความสะอาดมากขึ้น เมื่อตับสะอาดมากขึ้นทำงานได้ดีขึ้นภูมิต้านทานของร่างกายก็ฟื้นตัวและสามารถจัดการกับโรคที่อยู่ในร่างกายเราได้
รศ.ดร.สำเริง ให้ความเห็นว่า ความจริงคนเรามีเชื้อโรคอยู่ในตัว และมีเซลล์มะเร็งอยู่ในร่างกาย แต่ทุกคนมีภูมิต้านทานไม่เท่ากัน คนที่ยังมีภูมิต้านทานดีอยู่ก็จะยังไม่เกิดโรคเหล่านั้น และคนที่มีภูมิต้านทานอ่อนแอก็จะเกิดความไม่สมดุลและเป็นโรคเหล่านั้นได้ โดยยกตัวอย่างว่า มีคนถูกสุนัขซึ่งเป็นโรคพิษสุนัขบ้ากัด 10 ราย แต่บางทีอาจมีคนติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้า 3 คนเท่านั้น เพียงเพราะคนเหล่านั้นมีภูมิต้านทานต่ำ
รศ.ดร.สำเริง ได้กล่าวถึงกรณีศึกษาของผู้ป่วยรายหนึ่งที่เป็นมะเร็งในปอด เมื่อไปล้างพิษตับไปสักระยะหนึ่งก็ได้ปรากฏว่าเซลล์มะเร็งหายไปได้ ไม่ได้แปลว่าเซลล์มะเร็งจากปอดออกมาได้จากการล้างพิษตับเพราะอยู่คนละส่วนที่ไม่ได้เชื่อมโยงกัน แต่หมายความว่าเมื่อตับสะอาดแข็งแรงขึ้น ภูมิต้านทานจึงกลับมาและสามารถต่อต้านกับโรคมะเร็งในปอดได้
รศ.ดร.สำเริง อธิบายต่อว่า “ตับ” เป็นที่รวมของไขมันและสารพิษตกค้างอยู่จำนวนมาก จึงเห็นด้วยกับแนวคิดของคุณแก่นฟ้า แสนเมือง ที่เป็นผู้บุกเบิกคิดค้นหลักสูตรนี้ที่มองในเชิงกลไกว่า ตามปกติแล้วถ้ามีคราบน้ำมันในเครื่องยนต์เราจะใช้น้ำเปล่าผสมน้ำยาซักผ้าจะไม่สามารถล้างออกได้ โดยเฉพาะถ้ามีคราบน้ำมันที่เกาะตัวสะสมมาเป็นเวลานานนับหลายสิบปี หากจะล้างเครื่องยนต์เหล่านั้นได้ก็ต้องใช้น้ำมันเครื่องในการล้างเครื่องยนต์เหล่านั้น
คุณแก่นฟ้า แสนเมือง ผู้ริเริ่มหลักสูตรนี้ซึ่งมีพื้นฐานเป็นวิศวกรได้เคยอธิบายหลักการนี้ในรายการสภาท่าพระอาทิตย์ว่า บางครั้งเครื่องยนต์ติดขัด สตาร์ทไม่ติดวิ่งไม่ได้ โดยไม่ทราบสาเหตุ แต่เมื่อช่างซ่อมได้ใช้วิธีล้างเครื่องใหม่ให้สะอาด เพียงแค่นั้นก็กลับมาใช้งานได้อีก
และน้ำมันที่ขาดไม่ได้ในการใช้ล้างห้องเครื่อง “ตับ” ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกในเวลานี้ก็คือ ดีเกลือ และ น้ำมันมะกอก Extra Virgin
รศ.ดร.สำเริง รัตนระพี จึงสรุปว่าเคล็ดลับของการล้างพิษตับ จึงอยู่ที่การฟื้นฟูตับ เพราะเท่ากับเป็นการฟื้นฟูภูมิต้านทาน และบางคนอาจจะต้องล้างพิษตับหลายครั้ง เพื่อให้โรคร้ายของตนเองถูกพิชิตได้ด้วยภูมิต้านทานที่ถูกฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ เพราะในตับของหลายคนเต็มไปด้วยคราบไขมัน น้ำมัน สารพิษตกค้าง ยาเคมี ฯลฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่ทำให้การทำงานของตับอ่อนแอลงไปเรื่อยๆ
นาฬิกาชีวิต มีเวลา 4 ชั่วโมง 4 ทุ่มถึงตี 2 ว่าเป็นช่วงเวลาที่ท่อน้ำดีเปิดกว้าง น้ำมันมะกอกและน้ำมะนาวจึงเข้าไปในถุงน้ำดีและตับด้วย แล้วน้ำมันจะเป็นตัวพาคราบน้ำมันและสารพิษจากตับและอาจมีนิ่วจากถุงน้ำดีออกมาได้ด้วย
รศ.ดร.สำเริง รัตนระพี มียินดีพร้อมให้ความช่วยเหลือหลักสูตรล้างพิษตับของชาวสันติอโศก โดยพร้อมจะช่วยตรวจสิ่งที่ออกมาจากตับว่าสิ่งที่ออกมาคืออะไร เพื่อการพัฒนาหลักสูตรล้างพิษตับในทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ให้มีผลที่มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ รศ.ดร.สำเริง รัตนระพี ยังได้เขียนบทความสั้นๆฝากเอาไว้อย่างน่าสนใจในหลักสูตรล้างพิษตับ ให้กับคุณกอบ พันธมิตรฯที่สมุยอีกด้วย โดยระบุความตอนหนึ่งว่า:
หน้าที่หลักของตับ ผลิตน้ำดีให้ถุงน้ำดี ช่วยกรองเลือด ส่งเลือดดีเข้าสู่ร่างกาย และส่งเลือดไปที่ไต ล้างสารพิษ และตับยังช่วยย่อยอาหาร ดูแล ผม ขน เล็บ
ถ้าตับทำงานหนัก ไตมาช่วยทำงาน เมื่อทำงานหนัก ตับก็จะเสีย ไตก็จะเสื่อม
ตับทำงานหนัก เพราะกินบ่อย กินผิดเวลา กินจุบจิบทั้งวัน ที่สำคัญที่สุด กินอาหารแล้วเข้านอน อันนั้นคุณกำลังทำร้ายตับ โดยเฉพาะเวลา 01.00 น.-03.00 น. ร่างกายต้อนอนหลับสนิท และเป็นเวลาของตับ จะต้องขับสารพิษออกจากร่างกาย ก็ไม่ควรทานอาหารในเวลานี้ ถ้าจะกินก็ควรให้เลย 03.00 น.ไปแล้ว
และถึงแม้จะไม่ได้กินอะไรจุบจิบ ตับก็ต้องรับอารมณ์ โกรธ โมโห อิจฉา หรือ เครียด เมื่อมีอารมณ์เหล่านี้ เซลล์ในตับก็จะตายไปเป็นจำนวนมาก ทำให้ตับเสื่อมเร็วขึ้น
การเพิ่มภาระให้ตับคือ การโกรกสีผม ทาเล็บ ใช้ยาสระผม ทาปากด้วยเครื่องสำอางที่มีสารเคมีเจือปน สารเคมีสะสมจะส่งไปถึงตับโดยตรงแล้ว พอตับมีปัญหา ขอบใต้ตาจะดำ อาหารก็ไม่ย่อย ท้องจะอืด ลมแน่นท้อง เลือดไม่ไปเลี้ยงกระดูกเชิงกราน มดลูกเริ่มโต เจ็บถึงส้นเท้า ผู้ชายก็เป็นต่อมลูกหมากได้เหมือนกัน
ถึงจะบำรุงอะไร แต่ถ้าสารพิษตกค้างอยู่ในร่างกาย ก็ไม่เกิดประโยชน์
นอกจากนี้ รศ.ดร.สำเริง รัตนระพี ยังเขียนเป็นบทความให้ความเห็นต่อความสำคัญในการล้างลำไส้เอาไว้อย่างน่าสนใจเช่นเดียวกัน ในหัวข้อ “อาหารผัดน้ำมัน” ซึ่งมีเนื้อหาดังนี้
ในน้ำมันที่ประกอบอาหาร ถ้ามีส่วนประกอบของน้ำมันปาล์มอยู่ด้วยไม่ควรนำเข้าร่างกาย เพราะน้ำมันปาล์มน่าจะสกัดไปใช้เป็นเชื้อเพลิงอย่างอื่น ถ้าจะบอกว่าน้ำมันปาล์มไม่มีโคเรสเตอรอล ถ้าอย่างนั้นน้ำมันดีเซล เบนซิน ก็ไม่มีโคเรสเตอรอลเหมือนกัน แล้วน้ำมันเหล่านี้สมควรจะเอามากินเล่นได้หรือไม่
ดูจากกะทะและรอบๆเตาแก๊ส หรือท่อน้ำทิ้งที่ล้างจาน จะมีครบเหนียวๆ ของน้ำมีนเกาะติดอยู่ แต่เราล้างมันออกได้ แล้วงถ้าเรากินอาหารผันน้ำมันเป็นประจำ น้ำมันที่กินเข้าไปโดยอุณหภูมิของร่างกายที่ 37 องศาเซลเซียสตลอดเวลา น้ำมันจะเหนียวเป็นกาวยึดติดที่ผนังลำไส้ เป็นเวลานานก็จะหนาตัวขึ้น ไปขวางระบบดูดซึม
ระบบดูดซึมของร่างกายก็จะเสียไป แล้วเราจะส่งอะไรไปล้างมันได้ เมื่อระบบดูดซึมเสีย ลำไส้จะดูดซึมอาหารที่เป็นประโยชน์ไปสร้างเม็ดเลือดไม่ได้ กินยาหรือวิตามินก็ไม่ดูดซึม เพราะผ่านชั้นไขมันที่ผนังลำไส้ไม่ได้ หรือผ่านไปได้น้อย
ต่างกับการให้น้ำเกลือโดยการฉีดเข้าเส้นเลือด โดยไม่ต้องผ่านระบบดูดซึม แต่ใครจะให้น้ำเกลือได้ทุกวัน คงไม่มี
เมื่อระบบดูดซึมไม่ได้ พวกสารอาหารและโปรตีนจะถูกส่งไปให้ไตขับทิ้ง ไตก็ต้องทำงานหนักและอ่อนล้า ผลที่ตามมาคือความเจ็บป่วย และเกิดโรคต่างๆ
ทุกๆ คนที่เคยกินอาหารผัดน้ำมันหรือของทอดน้ำมันบ่อยๆหรือทุกวัน ควรต้องล้างลำไส้เพื่อให้ระบบดูดซึมทำงานให้ดีขึ้น
การไม่ล้างลำไส้ก็เปรียบเสมือนการกินข้าวแล้วไม่ล้างจาน มื้อต่อไปก็ใช้จานใบเก่านั้นแหละไปใส่กินข้าวใหม่
ขอขอบพระคุณข้อมูลจาก อ.ปานเทพ พัวพงษพันธ์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น