วันพุธที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2556

กินดื่มควบคุมกรดด่าง


กินดื่มควบคุมกรดด่าง


ก็เป็นผู้หญิงนี่คะ เรื่องการดูแลสุขภาพ และร่างกายให้แข็งแรง สวยใสน่ะ ถือเป็นหน้าที่หลักของชีวิต ที่สาวเราเต็มใจปฏิบัติกันอยู่แล้ว จริงมั้ย?
หลายคนยอมเสียเงิน ซื้อผลิตภัณฑ์ประทินผิวแสนแพงมาใช้ เพื่อหวังปรนนิบัติผิวพรรณให้ผุดผ่อง แต่เชื่อมั้ยคะ ว่าคุณอาจไม่ต้องทุ่มทุนจ่ายหนัก แบบที่กล่าวมาข้างต้นเลย เพียงถ้าคุณจะลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการดื่มน้ำเท่า นั้น!

ภคนิจ ศรัทธา ผู้จัดการฝ่ายฝึกอบรมศูนย์สุขภาพผิวแห่งหนึ่ง ได้อธิบายธรรมชาติของหนุ่มสาววัยทำงานในปัจจุบันว่า มักละเลยการดูแลสุขภาพ จนเมื่อร่างกายเริ่มอ่อนแอนั่นแหละถึงจะรู้ตัว

?ส่วนมากคนในช่วงอายุประมาณ 25 - 40 ปี จะเป็นช่วงวัยทำงาน สร้างเนื้อสร้างตัว จนบางครั้งอาจจะเกิดความเครียด เวลาในการจะดื่มน้ำ หรือเข้าห้องน้ำอาจจะน้อยมาก แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ แต่พอช่วงวัย 40 ไปแล้ว ถึงจะเริ่มนึกถึงสุขภาพร่างกาย เพราะว่าร่างกายมันเริ่มฟ้องแล้ว อย่างเช่น ผิวพรรณที่ดูไม่ผ่องใส ความอ่อนล้า ไม่มีแรง รู้สึกเหนื่อยง่าย หายใจไม่ค่อยสะดวก แล้วก็รู้สึกเครียดง่าย?

หลักการเลือกรับประทานอาหาร เพื่อสุขภาพที่ ดี 
?คนเราจะสุขภาพดีได้ ไม่ควรจะทานอาหารเกิน 3 - 4 มื้อต่อวัน โดยนับเป็นครั้งค่ะ ระหว่างมื้อก็นับเป็นครั้งด้วย เพราะร่างกายต้องย่อย ต้องดื่มน้ำ ต้องทานอาหารเข้าไปเหมือนกัน และต้องคำนึงด้วยว่า อาหารของเราแต่ละมื้อทั้งเช้า กลางวัน เย็นนั้น เราทานครบ 5 หมู่หรือไม่?

นอกจากจะแนะว่าควรรับประทานอาหาร 3 - 4 มื้อ ครบทั้ง 5 หมู่แล้ว ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณ ภคนิจบอกว่า เท่านั้นยังไม่พอค่ะ เพราะถ้าจะให้ร่างกายได้รับปริมาณอาหารที่เหมาะจริงๆ ควรคำนึงถึงเรื่องสัดส่วนการรับประทานอาหาร เพื่อให้ร่างกายได้รับกรด - ด่างในปริมาณที่เหมาะสมด้วย

?ในเชิงทฤษฎี ศาสตร์ของเรื่องอาหารและน้ำดื่มเราจะแบ่งประเภทอาหารและน้ำดื่มออกเป็น 2 ประเภทด้วยกันคือ ประเภทที่เป็นกรด (Acid) กับประเภทที่เป็นด่าง หรืออัลคาไลน์ (Alkaline)?

หากแยกอาหารใน 5 หมู่ที่เราคุ้นเคยออกมาเป็นกรด-ด่าง จะสามารถแยกได้ดังนี้ 
โปรตีน (Protein) นม ไข่ เนื้อสัตว์ และถั่วต่างๆ เมื่อร่างกายย่อยแล้วจะกลายเป็นกรด
คาร์โบไฮเดรต (Carbohydrate) ข้าว แป้ง เผือก มัน น้ำตาล เมื่อร่างกายย่อยแล้วจะกลายเป็นกรด
ไขมัน น้ำมัน ไขมันจากพืชและสัตว์ เมื่อร่างกายย่อยแล้วจะกลายเป็นกรด
ผัก เมื่อร่างกายย่อยแล้วจะกลายเป็นด่าง
ผลไม้ เมื่อร่างกายย่อยแล้วจะกลายเป็นด่าง

กูรูด้านผิวอธิบายต่อว่า อาหารประเภทผักและผลไม้ ที่ย่อยแล้วเกิดด่าง ถือเป็นอาหารที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกาย แต่ปัจจุบันคนจำนวนมาก มักนิยมรับประทานอาหารประเภทที่ย่อยแล้วกลายเป็นกรด มากกว่า ซึ่งอาหารจำพวกนี้เมื่อทานเยอะเกินไป ท้ายที่สุดแล้วก็กลายเป็น ?ขยะ? ของร่างกาย

?คนสมัยนี้นิยมดื่มน้ำอัดลม ขนมหวาน แป้ง และเนื้อสัตว์กันมาก ซึ่งถ้าจัดหมวดหมู่แล้วจะเห็นเลยว่าเป็นอาหารประเภทกรดทั้งนั้นเลย ถ้าอาหารประเภทโปรตีน ร่างกายย่อยเล็กสุด ก็จะเป็นกรดอะมิโน ไขมัน - น้ำมัน ย่อยแล้วจะเป็นกรดไขมัน คาร์โบไฮเดรต ย่อยแล้วจะเป็นน้ำตาล เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นกรดที่เกิดขึ้นในร่างกาย ทานมากเกินไปผลผลิตมันก็กลายเป็นขยะในร่างกายได้อย่างอาหารประเภทโปรตีน ย่อยแล้วเกิดกรดยูริก (Uric acid) อาหารประเภทไขมัน ย่อยแล้วได้กรดไขมันแตกตัวสั้นๆ หรือแม้กระทั่งอินทรีย์สารต่างๆ ที่เกิดเป็นกรดในร่างกายค่อนข้างเยอะ เหล่านี้คือขยะทั้งหมด? และเมื่อมีขยะเหล่านี้ จำนวนมากสุดท้ายก็เป็นบ่อเกิดของโรคภัยนั่นเอง

?เมื่อมีกรดในร่างกายมาก สิ่งต่างๆ ที่เป็นกรด ของเสียที่เกิดจากการทานอาหาร กลายเป็นกรดยูริค กรดไขมัน หรือคอเลสเตอรอล (Cholesterol) ต่างๆ เหล่านี้จะเกิดโรคอะไร ก่อนอื่นเลยคือน้ำหนักเกิน ความดันสูงตามมา ความดันโลหิตสูงเกิดขึ้น พอความดันโลหิตสูงแล้วจะเกี่ยวข้องหมดเลยค่ะ ระบบหัวใจความผิดปกติในเรื่องของหลอดเลือดอุดตัน โรคหัวใจเฉียบพลัน ส่วนกรดยูริกก็จะทำให้เป็นโรคเก๊าท์ปวดตามข้อ?

รับประทานกรด-ด่าง สัดส่วนเท่าใดจึงพอเหมาะ 
สัดส่วนการรับประทานอาหารเพื่อให้ได้กรด-ด่างที่เหมาะสมนั้น ผู้เชี่ยวชาญคนสวยให้ข้อมูลว่าควรได้รับอาหารประเภทด่างให้มาก และลดปริมาณกรดให้น้อยเข้าไว้

?สำหรับสัดส่วนที่เหมาะสมนั้น ควรรับประทานอาหารประเภทด่าง หรืออัลคาไลน์ นั่นคือ ผัก ผลไม้ ให้ได้ 70 - 80% ในอาหารแต่ละมื้อ และลดอาหารประเภทกรดให้เหลือแค่ 20 - 30%?

ผู้จัดการฯ ภคนิจ แนะนำต่อไปว่า แม้การปรับพฤติกรรมการกินจะเป็นเรื่องที่ควรทำเป็นอย่างมาก แต่คงไม่ต้องถึงกับเคร่งครัด จนตัวเองเครียดหรอกนะคะ ควรพยายามศึกษาหาข้อมูลผลเสียที่จะเกิดจากการกินแบบผิดๆ ให้มาก แล้วคุณจะทำได้เองโดยอัตโนมัติ

?สำหรับเรื่องนี้ เราคงไม่ถึงกับขนาดต้องเครียดว่าอันนี้ คาร์โบไฮเดรตหน่อยเดียว เนื้อสัตว์หน่อยเดียว ผักเยอะๆ พฤติกรรมของเรา ถ้าเป็นอย่างนี้ทุกวันอาจจะเครียดได้ คือ ให้รู้ไว้น่ะคะเพราะเวลาเรามีข้อมูลเยอะๆ เราจะรู้สึกว่าหยุดตัวเองได้ อย่างจะทานเบเกอรี่เข้าไป ก็คิดได้เองว่า เอ๊ะน้ำตาลนี่นา เราอาจจะหักห้ามใจทานแค่ครึ่งชิ้นได้โดยอัตโนมัติ?

ดื่มน้ำให้สวยร่างกายแข็งแรงต้องควบคุมกรด - ด่าง 

เมื่อครบถ้วนในเรื่องการเลือกทานอาหาร อีกส่วนที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ผิวพรรณสดใสเปล่งประกายออร่า (Aura) คงไม่พ้นเรื่องของน้ำดื่ม ซึ่งก็มีหลักในการเลือกเช่นกัน

?การดื่มน้ำ ถ้าหากอยากสุขภาพดี ต้องเป็นน้ำประเภทด่างหรือน้ำเปล่า 90% แล้วที่เหลือถึงจะเป็นน้ำประเภทอื่น? ผู้จัดการสาวเกริ่นถึงการดื่มน้ำที่เหมาะสม พร้อมอธิบายต่อว่า การจะทราบว่าน้ำชนิดใดเป็นกรด-ด่าง ต้องอาศัยการอ้างอิงจากค่าพีเอช (pH)

?พีเอช คือค่าการวัดความเป็นกรดด่าง ถ้าวัดได้ที่เลข 1 - 6 จะเป็นน้ำดื่มประเภทกรดพีเอชจะค่อนข้างต่ำ แต่ถ้าเป็น 8 - 14 จะเป็นค่าพีเอชที่บอกถึงความเป็นด่าง ส่วนตรงกลางคือ 7 ก็คือไม่มีความเป็นกรดเป็นด่าง ก็จะมีค่าเป็นกลาง ซึ่งค่าพีเอชนี้จะเป็นสิ่งที่บอกว่า อาหารหรือน้ำดื่มไม่ว่าจะอยู่ในรูปของกรดหรือด่าง จะเกี่ยวกับค่าพีเอชของเลือดเสมอ ถ้าทานเข้าไปแล้วเกิดกรดในร่างกายมากๆ เลือดก็จะสูญเสียความสมดุล ซึ่งจะมีผลต่ออาการของโรคต่างๆ เช่น การหมดสติ?

ส่วนน้ำแต่ละชนิดก็มีค่าพีเอชที่แตกต่างกันไป ซึ่งหากอยากมีสุขภาพดีก็ต้องเลือกดื่มน้ำที่ช่วยปรับค่าพีเอชในเลือดให้ สมดุลด้วย ?น้ำ อัดลมจะมีค่าพี่เอชอยู่ที่ 2.5, โซดา พีเอชที่ 3.2, เบียร์ 4.7 และน้ำเปล่าบรรจุขวด 6.8 ซึ่งถือว่าใกล้ค่ากลางแล้ว แต่อาจจะต้องมีความเป็นกรดอ่อนๆ เนื่องจากระบบของการฆ่าเชื้อโรค ส่วนน้ำกลั่นจะมีค่าความเป็นกลางเลย

ดังนั้นน้ำเปล่าที่เราดื่มจะเป็นค่ากลาง ถ้าดื่มไนปริมาณมาก ก็จะทำให้กรดภายในร่างกายน้อยลงจนเกิดความสมดุลได้ง่าย แต่ถ้าทางลัดก็คือ การดื่มน้ำดื่มประเภทอัลคาไลน์ หรือน้ำที่มีค่าพีเอชที่เป็นด่างค่อนข้างเยอะ จะได้ปรับความเป็นกรดที่อยู่ในร่างกายให้มันพอดี

ตัวอย่างเช่นถ้าดื่มน้ำอัดลม 1 แล้ว ซึ่งมีค่าพีเอช 2.5 จะทำอย่างไรให้ร่างกายสุขภาพดี ก็ต้องดื่มน้ำที่เป็นด่างจำนวนมากเข้าไปทดแทนเพื่อไปปรับค่าพีเอชให้กรดและ ด่างที่อยู่ในร่างกายสมดุล

แต่มันเป็นไปได้ยากที่จะทำอย่างนั้น เพราะแค่น้ำอัดลม 1 แก้ว บางคนก็อิ่ม และไม่ทานน้ำเปล่าตามเข้าไปแล้ว ซึ่งนั่นก็เป็นสาเหตุที่ร่างกายมีกรดจำนวนมาก ดังนั้นจึงบอกได้เลยว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรามันมีเหตุผล และพฤติกรรมการดื่มน้ำ มันทำร้ายร่างกายได้โดยที่เราไม่รู้ตัว?

น้ำดื่มอัลคาไลน์หาไม่ยาก ..ทำเองก็ได้ 
สำหรับน้ำดื่มอัลคาไลน์หรือน้ำที่มีค่าเป็นด่างนั้นหลายคนไม่คุ้น จึงแอบคิดว่าหายากสิ้นเปลือง แต่กูรูของเราก็มาเฉลยว่า ไม่ได้ทำยากหรือสิ้นเปลืองเล้ย...


?ในชีวิตประจำวันจะดื่มน้ำให้ร่างกายมีกรด-ด่างสมดุลได้อย่างไร วิธีที่แนะนำก็คือ หนึ่งเลือกดื่มน้ำเปล่าให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ก่อน เพราะถ้าร่างกายเรารับประทานอาหารที่สมดุลอยู่แล้ว ดื่มน้ำเปล่าอย่างเดียวก็เพียงพอ แต่หากเราไม่เคร่งครัดกับการเลือกรับประทานอาหารอาจทานกรดหรือดื่มน้ำที่ เป็นกรดมากไป การดื่มน้ำเปล่าวันละ 6-8 แก้ว ก็อาจจะไม่เพียงพอ อาจจะต้องเพิ่มปริมาณเป็นเท่าตัว

ทางลัดก็คือ ดื่มน้ำดื่มที่เป็นอัลคาไลน์ ซึ่งอาจทำได้โดยฝานมะนาวเป็นชิ้นบางๆ ผสมลงไปในแก้วน้ำก็ได้ หรือบางท่านอาจจะเลือกดื่มเป็นน้ำแร่ที่จำหน่ายในท้องตลาด หรือน้ำแร่ที่ผลิตจากเครื่องทำน้ำแร่ก็ได้ ก็เป็นน้ำอัลคาไลน์เหมือนกัน?

กูรูทิ้งท้าย ไว้ว่าหากอยากสุขภาพดี ไม่ควรช้ารีบปรับพฤติกรรมการกินของตัวเองเถอะค่ะ แล้วคุณจะเป็นเจ้าของร่างกายที่แข็งแรง แถมผิวสวยผุดผ่องเป็นยองใยอีกต่างหาก

?ถ้าเราปรับพฤติกรรม หรือเคร่งครัดในเรื่องการเลือกรับประทานอาหารได้ สุขภาพเราจะดีแน่ๆ เพราะถ้าทำได้ทุกอย่างในร่างกายจะบอกออกมาเลย ทั้งผิวพรรณเปล่งปลั่ง โรคภัยไม่มีแล้วตัวเราเองก็จะมีความสุข พอมีความสุขพลังออร่า มันจะออกมาให้เห็น หน้าตาสดชื่นขึ้น ระบบทุกอย่างในร่างกายก็จะดีขึ้น ขับถ่ายดี เผาผลาญดี ร่างกายก็กระปรี้กระเปร่าและแข็งแรง?

วันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2556

อาหารกับสุขภาพตับ




         ตับเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย เปรียบเสมือนโรงงานผลิตพลังเคมีในร่างกาย ควบคุมระบบการเผาผลาญสารอาหารและขจัดของเสียออกจากร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นอาหาร อากาศที่หายใจหรือดูดซึมผ่านเข้าทางผิวหนัง จะต้องผ่านกระบวนการกรองพิษโดยการทำงานของตับ
         อาหารมีความสัมพันธ์กับการทำงานของตับ โดยที่ตับจะช่วยเปลี่ยนอาหารที่รับประทานเป็นพลังงาน และเก็บสะสมสารอาหารที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตและการเจริญเติบโต ช่วยผลิตน้ำดีซึ่งจำเป็นต่อการย่อยอาหารประเภทไขมัน นอกจากนี้ตับยังช่วยผลิตสารที่ช่วยในการแข็งตัวของเลือด ผลิตสารโปรตีนในเลือดและเอ็นไซม์ต่างๆ มากกว่าพันชนิด ผลิตและควบคุมการทำงานของคอเลสเตอรอล ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ปกติ ควบคุมการทำงานของฮอร์โมน 
        85-90% ของเลือดที่ออกจากกระเพาะและลำไส้จะนำสารอาหารสำคัญไปสู่ตับ เพื่อเปลี่ยนเป็นสารที่ร่างกายต้องนำไปใช้ ตับจึงเป็นอวัยวะที่สำคัญในการสร้างสารอาหารประเภทโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต และวิตามินที่ร่างกายจะต้องใช้ในการทำงาน

       คาร์โบไฮเดรต
 จะถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตาลเพื่อนำไปใช้เป็นพลังงาน ตับจึงทำหน้าที่ในการควบคุมระดับน้ำตาล และป้องกันอาการน้ำตาลต่ำ หากขาดกระบวนการเหล่านี้ คนเราจะต้องกินทั้งวันไม่หยุด เพื่อรักษาระดับพลังงานในร่างกาย
       โปรตีน เมื่อย่อยแล้วจะอยู่ในรูปกรดอะมิโน ซึ่งจะถูกส่งเข้าสู่ตับเพื่อสร้างเป็นโปรตีนชนิดใหม่ที่ร่างกายจะนำไปใช้ประโยชน์ได้ ตับยังมีความสามารถพิเศษในการเปลี่ยนกรดอะมิโนบางชนิดเป็นน้ำตาล และเป็นพลังงานในยามฉุกเฉินหรือในยามที่ร่างกายต้องการพลังงานเร่งด่วน
         โปรตีนบางชนิดจะถูกแบคทีเรียในลำไล้เล็กเปลี่ยนเป็น แอมโมเนีย ซึ่งเป็นสารที่มีพิษ หรือของเสียที่เกิดจากการสลายโปรตีนจะอยู่ในรูปของแอมโมเนีย ตับจะสลายแอมโมเนียเป็นสารยูเรียและขจัดออกทางไต ฉนั้นร่างกายจะขจัดพิษได้ดีนอกจากตับต้องแข็งแรงแล้วไตยังต้องดีด้วย
       ไขมัน อาหารไขมันจะต้องถูกย่อยด้วยน้ำดีซึ่งตับเป็นตัวสร้างและเก็บไว้ในถุงน้ำดี จะถูกนำมาใช้ยามเมื่อมีอาหารไขมันในลำไส้เล็ก น้ำดียังจำเป็นต่อการดูดซึมวิตามิน เอ ดี และ เค ซึ่งเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน หลังจากที่ไขมันถูกย่อยแล้ว กรดน้ำดีจะถูกลำไส้เล็กดูดซึม และส่งกลับไปที่ตับเพื่อรีไซเคิลเป็นน้ำดีอีกครั้ง

โภชนบำบัดในโรคตับแข็ง        โรคตับแข็งอาจเกิดจากสาเหตุหลายประการ ได้แก่ การดื่มสุรามากเป็นสาเหตุที่พบบ่อย โรคตับอักเสบเรื้อรังจากเชื้อไวรัส โรคทางเดินน้ำดีอุดตัน ระบบภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง ยาและสารพิษบางชนิด และความผิดปกติทางพันธุกรรม ในที่นี้จะพูดถึงเฉพาะโรคตับแข็งเท่านั้น ผู้ที่มีโรคตับควรอยู่ในการดูแลรักษาของแพทย์ ขณะเดียวกันการดูแลด้านโภชนาการมีความสำคัญ ต่อการรักษา เพื่อให้ร่างกายได้รับพลังงาน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน และวิตามินแร่ธาตุอย่างเหมาะสม จะช่วยให้ฟื้นฟูสภาพตับได้ดีขึ้น

      โภชนบำบัดเน้นอาหารที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของตับดังนี้ 
         อาหารพลังงานสูง ผู้ป่วยโรคตับมีความต้องการพลังงานสูงโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีปัญหาขาดสารอาหารร่วมด้วย อาหารที่มีพลังงานสูงถึงวันละ 2000-3000 กิโลแคลอรี จะช่วยในการเสริมสร้างเนื้อเยื่อตับ ช่วยเสริมสร้างพละกำลังและทำให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น

         การแบ่งอาหารเป็นมื้อเล็กๆหลายๆมื้อ เช่นวันละ 4-6 มื้อ นอกจากจะช่วยให้ร่างกายได้รับพลังงานเพียงพอแล้วยังช่วยลดการเผาผลาญไขมันและโปรตีนอีกทั้งยังป้องกันไม่ให้ไกลโคเจนที่ร่างกายสะสมไว้ถูกใช้หมดไป

      โปรตีน ผู้ป่วยที่มีโรคตับแข็งต้องการอาหารโปรตีนสูงถึงวันละ 100-150 กรัม เพื่อใช้ในการสร้างเซลล์ใหม่ และป้องกันภาวะขาดโปรตีน แต่ถ้าโปรตีนสูงมากเกินไป ก็จะทำให้แอมโมเนียในเลือดสูง ในกรณีนี้แพทย์จำเป็นต้องให้ยาแลคทูโลส ( Lactulose) หรือ นีโอไมซิน (Neomycin) เพื่อควบคุมระดับแอมโมเนียในเลือด ร่วมกับการจำกัดปริมาณโปรตีนในระดับต่ำๆ วันละ 10-40 กรัมขึ้นกับสภาวะโรคของผู้ป่วย อาหารโปรตีนสำหรับผู้ป่วยควรเป็นโปรตีนที่มีคุณภาพสูง เช่นนม ไข่ เนื้อสัตว์ชนิดต่างๆ

      คาร์โบไฮเดรต อาหารจะต้องมีโบไฮเดรตสูง เพื่อให้ร่างกายได้รับกลูโคสเพียงพอในการนำไปเป็นพลังงาน และสะสมในรูปไกลโคเจน เพื่อเป็นพลังงานสำรอง การได้รับกลูโคสเพียงพอจะช่วยให้ร่างกายนำโปรตีนไปใช้ในการเสริมสร้างเนื้อเยื่อได้ดีขึ้น ควรเน้นคาร์โบไฮเดรตที่ไม่ผ่านการขัดสี ได้แก่ ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท เส้นต่างๆ เผือก มัน ฟักทอง ผลไม้ เป็นต้น

      ไขมัน อาหารควรมีไขมันพอสมควรแต่ไม่มากไป ในกรณีที่ผู้ป่วยมีปัญหาในการย่อยและดูดซึมไขมัน แพทย์จะให้ไขมันชนิดพิเศษที่ย่อยได้โดยไม่ต้องใช้น้ำดีและดูดซึมง่าย ในการแปลงอาหารไขมันองค์กรโรคตับในสหรัฐอเมริกาแนะว่า อาจใช้น้ำมัน ดอกคำฝอยปรุงอาหารแทนน้ำมั นอื่นๆ

      วิตามินและเกลือแร่ ร่างกายมีความต้องการวิตามินและเกลือแร่มากขึ้น แต่ผู้ป่วยไม่ควรหาซื้อมารับประทานเองโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์ เพราะวิตามินบางชนิดหากได้รับมากเกินจะเป็นพิษต่อตับได้ เช่น วิตามินเอ
          อาหารที่เป็นแหล่งของวิตามินเกลือแร่ในธรรมชาติคือผัก และผลไม้ ควรเลือกอาหารผักและผลไม้อย่างหลากหลายซึ่งจะให้สารแอนติออกซิแดนท์เช่นเบตาแคโรทีนและวิตามินซีสูง

   อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง   
       • จำกัดอาหารทะเลประเภทที่มีเปลือกแข็ง เช่นหอยนางรมดิบ อาหารเหล่านี้ถ้ารับประทานต้องปรุงให้สุก มิฉะนั้นจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิด
       • ผู้ป่วยโรคตับจะต้องจำกัดโซเดียม ซึ่งเป็นองค์ประกอบของเกลือ เพื่อป้องกันหรือลดอาการบวม การจำกัดโซเดียมทำได้โดยงดของหมักดอง ปรุงอาหารโดยไม่เติมซอสและเครื่องปรุงซึ่งมีรสเค็ม รวมทั้งผงชูรส งดอาหารกระป๋อง งดมายองเนสและซอสมะเขือเทศ ปรุงอาหารจากอาหารสด จะช่วยลดปริมาณโซเดียมได้มาก
       * งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาด
          ในกรณีผู้ป่วยมีอาการบวมของเส้นเลือดดำขอดในหลอดอาหาร อาหารที่ควรรับประทานควรเป็นอาหารอ่อน เพื่อป้องกันการฉีกขาดของเนื้อเยื่อบริเวณนั้น และควรงดอาหารทอดทุกชนิด

        ตัวอย่างปริมาณอาหารโปรตีนสูง คาร์โบไฮเดรตสูง ไขมันปานกลาง ในแต่ละวัน

                       อาหาร               ปริมาณ / วัน
                นมพร่องมันเนย                 1 ลิตร
                ไข่ดาว                           2-4 ฟอง
                เนื้อล้วน/ปลา/สัตว์ปีก(สุก)   224 กรัม (15 ช้อนโต๊ะ)
                ผัก                                2 ถ้วยตวง
                ผลไม้                             2 ถ้วยตวง
                ข้าว ขนมปัง เส้นต่างๆ       3-4 ถ้วยตวง
                เนย/ น้ำมัน/ มาการีน        2-4 ช้อนโต๊ะ
                ขนม เจลลี น้ำผึ้ง และคาร์โบไฮเดรตอื่นๆ ตามต้องการ
    ข้อแนะนำ   
     ผู้ที่เป็นโรคตับควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ ผู้ที่ไม่มีโรคตับ หรือหายจากโรคตับ ก็ควรจะดูแลสุขภาพของตับได้ดังนี้

      • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือถ้าดื่ม ดื่มในปริมาณเล็กน้อย คนที่มีสุขภาพดีหากดื่มสุรามากก็อาจจะทำให้เป็นโรคตับแข็งได้ง่ายขึ้น
      • รับประทานอาหารไขมันต่ำ กากใยอาหารสูงๆ โดยเลือกอาหารที่ผ่านกระบวนการผลิตขัดสีที่น้อยที่สุด รับประทานเนื้อล้วน ลดอาหารทอด อาหารมัน การมีโภชนาการดีจึงเท่ากับการดูแลสุขภาพตับไปในตัว และป้องกันการเกิดโรคหลายๆชนิดของตับ
      • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

โพสต์แนะนำ

5 เฮิร์บ แฮร์ เซรั่ม 5 HERB HAIR SERUMผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผม(ไม่ต้องล้างออก)

                                              5 เฮิร์บ แฮร์ เซรั่ม  5 HERB HAIR  SERUM ผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผม(ไม่ต้องล้างออก) ผมห...