วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2558

มาดูแลสุขภาพกับคอร์สล้างพิษตับและนิ่วในถุงน้ำดีกันคะ วันที่20-22 มีนาคม2558


ดีท็อกซ์ ขับสารพิษในร่างกาย


การอบรมนี้ไม่ใช่การรักษา แต่เป็นการดูแลสุขภาพ ด้วยวิธีธรรมชาติแบบองค์รวม ซึ่งมีความเชื่อมั่นว่า “ร่างกาย” มีกลไกลในการดูแลปรับสภาพต่างๆ ให้อยู่ในภาวะสมดุลได้ด้วยตัวเอง การที่เกิดการเจ็บป่วยเนื่องมาจากการเสียสมดุลของร่างกาย ดังนั้นวิธีการคือต้องดูแลช่วยเหลือให้ร่างกายเข้าสู่สภาวะสมดุล อีกครั้งเพื่อที่จะได้ทำหน้าที่  “เยียวยา”  รักษาความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น

เป้าหมายของการล้างพิษคือ มุ่งเพื่อสุขภาพองค์รวมไม่ใช่เพียงเพื่อขับนิ่วหรือขับพิษออกจากร่างกายเพียงเท่านั้น แต่หวังเพื่อสุขภาพทั้งมวลให้ดีขึ้น ได้ด้วยการกลับไปเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอยู่ให้นำเอาพิษเข้าสู่ร่างกายให้น้อยที่สุด    " เอาของเสียเก่าออก   ไม่เอาของเสียใหม่เข้า "                                                                    

ทำไมต้องล้าง (พิษ)

ตับหน้าที่หลักของตับ ผลิตน้ำดีให้ถุงน้ำดี ช่วยกรองเลือด ส่งเลือดดี

เข้าสู่ร่างกาย และส่งเลือดไปทีไต ล้างสารพิษ และตับยังช่วยย่อย

อาหาร ดูแลเส้นผม ขน เล็บ ถ้าตับทำงานหนัก ไตก็ช่วยทำงานเมื่อ

ทำงานหนัก ตับก็จะเสีย ไตก็เสื่อม

การล้างพิษตับเหมาะกับใคร

เหมาะกับคนที่มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่มีความเสี่ยงเช่นการสูบบุหรี่ 

ดื่มสุราเป็นประจำ และผู้ที่ทานอาหารไม่ถูกหลักอนามัย เช่น อาหาร

รสจัด ปิ้ง ย่าง หรือผู้ที่มีความเครียด พักผ่อนนอนหลับไม่เพียงพอ

เหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุให้ตับทำงานหนัก แล้วนำไปสู่การเกิดโรค และ

ภาวะต่างๆเช่น ตับอักเสบ ตับแข็ง ฝีในตับ โรคเบาหวาน



เมื่อไหร่ที่เราต้องล้างพิษออกจากตับ                                                         
ร่างกายอ่อนเพลียและเหนื่อยง่ายไม่ค่อยมีแรง เซื่องซึม    หดหู่ใจ 
ไม่กระปรี้กระเปร่า                           
มีอาการของโรคภูมิแพ้ มักจะแพ้อะไรง่าย เช่นแพ้กลิ่น   แพ้อากาศ ฯลฯ                                              
มีภูมิต้านทานโรคต่ำ ทำให้ไม่สบายหรือเป็นหวัดได้ง่าย                                                            
ปวดศีรษะ มึนงงบ่อยๆ หรืออาจปวดถึงขั้นเป็นไมเกรน                                                                        
มีสิวและผดขึ้น                                                                                            
นอนหลับยากหรือรู้สึกว่าหลับไมพอ                                                                                              
มีกลิ่นปากหรือมีแผลในช่องปาก                                                                                                    
จุกเสียดแน่นท้อง ปวดท้องเป็นประจำ ท้องเสียง่าย เป็นริดสีดวงทวาร
                                      
เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ                                                                                      
อารมณ์แปรปรวนง่าย ประสาท  ตึงเครียด                                                                                   
ผิวหมองคล้ำ เกิดริ้วรอยง่าย ผิวแห้งและหยาบกร้าน  ดูแก่กว่าวัย                                                       
มักปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อหรือข้อต่างๆ                                                                                            
ขี้ลืม สมองไม่โปร่ง คิดอะไรไม่ค่อยออก ฯลฯ



วันพุธที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2558

การล้าพิษตับและการทำดีท็อกซ์ในมุมมองของอาจารย์ศิริราช



การล้าพิษตับและการทำดีท็อกซ์ในมุมมองของอาจารย์ศิริราช

       
    หลักสูตรล้างพิษตับและลำไส้แห่งสันติอโศกในเวลานี้ นอกจากจะเป็นหลักสูตรที่มีคิวยาวถึงปีหน้าทุกสถานปฏิบัติธรรมและโรงเรียนผู้นำแล้ว ทราบว่าเดี๋ยวนี้พันธมิตรประชาชนในแต่ละจังหวัดก็ได้จัดกิจกรรมล้างพิษตับหลังจากที่ได้มีผู้ที่ได้ไปเข้าฝึกอบรมกันกว้างขวางมากขึ้น
       
        การล้างพิษในต่างประเทศได้ถูกผสมและผสานกับภูมิปัญญาแพทย์แผนไทย ทำให้หลักสูตรการล้างพิษตับของชาวสันติอโศกได้รับการกล่าวขานถึงกันมากขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ
       
        โดยหลักการสำคัญในการล้างพิษตับสามารถแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนสำคัญคือ
       
        1. อดอาหารเพื่อให้กลไกในร่างกายหยุดใช้พลังงานเพื่อการย่อยอาหาร และเตรียมตัวที่จะนำสิ่งตกค้างและสารพิษออกจากร่างกาย เปรียบเสมือนการปิดโรงงาน หยุดการผลิตเพื่อเตรียมตัวทำความสะอาดใหญ่ในโรงงาน
       
       2. ทำการล้างลำไส้ โดยใช้สมุนไพรในการขับถ่ายมูกเมือก ดูดซับพิษในลำไส้ และขับพิษออกจากลำไส้โดยการดีท็อกซ์ จนแน่ใจว่าไม่มีอะไรตกค้างในลำไส้แล้ว
       
       3. เมื่อดำเนินการ 2 ขั้นตอนข้างต้นแล้ว จึงดื่มดีเกลือและตามด้วยน้ำมันมะกอกและน้ำมะนาวในช่วงเวลา 4 ทุ่ม และดีท็อกซ์ออกในช่วง 10.30 น.ในสายของวันรุ่งขึ้น ทำให้เชื่อได้ว่าสิ่งที่ออกมานั้นน่าจะออกมาจากตับและถุงน้ำดี
       
        แม้จะมีผลลัพธ์และกรณีศึกษามากมายว่าผู้ที่เข้าทำการล้างพิษตับได้มีการอาการดีขึ้นจากความเจ็บป่วย แต่ก็มักจะมีผู้ที่ยังมีความไม่แน่ใจ สงสัย ว่าจะมีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์หรือในทางการแพทย์แผนปัจจุบันอย่างไรได้บ้าง?
       
        แต่ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องไม่ง่ายนัก เพราะแพทย์แผนปัจจุบันส่วนใหญ่คุ้นเคยอยู่กับเทคโนโลยีทางการแพทย์ และยาเคมีในสิ่งที่ตัวเองร่ำเรียนมามากกว่า หลายคนต่อต้านแพทย์ทางเลือกเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นจะมีแพทย์แผนปัจจุบันสักกี่คนที่จะมาแสวงหาคำตอบในการล้างพิษตับของชาวอโศกได้
       
              รศ.ดร.สำเริง รัตนระพี จากภาควิชาพยาธิวิทยา (Department of Pathology) คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นอาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพยาธิวิทยาระบบทางเดินปัสสาวะ ได้เข้าทำการล้างพิษตับของชาวสันติอโศกไปแล้วทั้งหมด 3 ครั้ง ครั้งแรกที่เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี(ของคุณกอบ พันธมิตรฯที่สมุย) ครั้งที่สองที่สถานปฏิบัติธรรมของสันติอโศก และครั้งที่ 3 ได้มาล้างพิษตับเองที่บ้าน ได้ให้ความเห็นกับการล้างพิษตับและลำไส้เอาไว้ได้อย่างน่าสนใจ
       
        รศ.ดร.สำเริง รัตนระพี ได้ให้ความเห็นเอาไว้ว่าความจริงการออกกำลังกายจะช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรงมีภูมิต้านทานโรคต่างๆ ได้ แต่การล้างพิษตับก็เหมือนกับการฟื้นฟูสภาพตับให้มีความสะอาดมากขึ้น เมื่อตับสะอาดมากขึ้นทำงานได้ดีขึ้นภูมิต้านทานของร่างกายก็ฟื้นตัวและสามารถจัดการกับโรคที่อยู่ในร่างกายเราได้
       
        รศ.ดร.สำเริง ให้ความเห็นว่า ความจริงคนเรามีเชื้อโรคอยู่ในตัว และมีเซลล์มะเร็งอยู่ในร่างกาย แต่ทุกคนมีภูมิต้านทานไม่เท่ากัน คนที่ยังมีภูมิต้านทานดีอยู่ก็จะยังไม่เกิดโรคเหล่านั้น และคนที่มีภูมิต้านทานอ่อนแอก็จะเกิดความไม่สมดุลและเป็นโรคเหล่านั้นได้ โดยยกตัวอย่างว่า มีคนถูกสุนัขซึ่งเป็นโรคพิษสุนัขบ้ากัด 10 ราย แต่บางทีอาจมีคนติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้า 3 คนเท่านั้น เพียงเพราะคนเหล่านั้นมีภูมิต้านทานต่ำ
       
        รศ.ดร.สำเริง ได้กล่าวถึงกรณีศึกษาของผู้ป่วยรายหนึ่งที่เป็นมะเร็งในปอด เมื่อไปล้างพิษตับไปสักระยะหนึ่งก็ได้ปรากฏว่าเซลล์มะเร็งหายไปได้ ไม่ได้แปลว่าเซลล์มะเร็งจากปอดออกมาได้จากการล้างพิษตับเพราะอยู่คนละส่วนที่ไม่ได้เชื่อมโยงกัน แต่หมายความว่าเมื่อตับสะอาดแข็งแรงขึ้น ภูมิต้านทานจึงกลับมาและสามารถต่อต้านกับโรคมะเร็งในปอดได้
 
        รศ.ดร.สำเริง
 อธิบายต่อว่า “ตับ” เป็นที่รวมของไขมันและสารพิษตกค้างอยู่จำนวนมาก จึงเห็นด้วยกับแนวคิดของคุณแก่นฟ้า แสนเมือง ที่เป็นผู้บุกเบิกคิดค้นหลักสูตรนี้ที่มองในเชิงกลไกว่า ตามปกติแล้วถ้ามีคราบน้ำมันในเครื่องยนต์เราจะใช้น้ำเปล่าผสมน้ำยาซักผ้าจะไม่สามารถล้างออกได้ โดยเฉพาะถ้ามีคราบน้ำมันที่เกาะตัวสะสมมาเป็นเวลานานนับหลายสิบปี หากจะล้างเครื่องยนต์เหล่านั้นได้ก็ต้องใช้น้ำมันเครื่องในการล้างเครื่องยนต์เหล่านั้น
 
        คุณแก่นฟ้า แสนเมือง
 ผู้ริเริ่มหลักสูตรนี้ซึ่งมีพื้นฐานเป็นวิศวกรได้เคยอธิบายหลักการนี้ในรายการสภาท่าพระอาทิตย์ว่า บางครั้งเครื่องยนต์ติดขัด สตาร์ทไม่ติดวิ่งไม่ได้ โดยไม่ทราบสาเหตุ แต่เมื่อช่างซ่อมได้ใช้วิธีล้างเครื่องใหม่ให้สะอาด เพียงแค่นั้นก็กลับมาใช้งานได้อีก
 
        และน้ำมันที่ขาดไม่ได้ในการใช้ล้างห้องเครื่อง “ตับ” ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกในเวลานี้ก็คือ ดีเกลือ และ น้ำมันมะกอก Extra Virgin
 
        รศ.ดร.สำเริง รัตนระพี จึงสรุปว่าเคล็ดลับของการล้างพิษตับ จึงอยู่ที่การฟื้นฟูตับ เพราะเท่ากับเป็นการฟื้นฟูภูมิต้านทาน
 และบางคนอาจจะต้องล้างพิษตับหลายครั้ง เพื่อให้โรคร้ายของตนเองถูกพิชิตได้ด้วยภูมิต้านทานที่ถูกฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ เพราะในตับของหลายคนเต็มไปด้วยคราบไขมัน น้ำมัน สารพิษตกค้าง ยาเคมี ฯลฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่ทำให้การทำงานของตับอ่อนแอลงไปเรื่อยๆ
       
        นาฬิกาชีวิต มีเวลา 4 ชั่วโมง 4 ทุ่มถึงตี 2 ว่าเป็นช่วงเวลาที่ท่อน้ำดีเปิดกว้าง น้ำมันมะกอกและน้ำมะนาวจึงเข้าไปในถุงน้ำดีและตับด้วย แล้วน้ำมันจะเป็นตัวพาคราบน้ำมันและสารพิษจากตับและอาจมีนิ่วจากถุงน้ำดีออกมาได้ด้วย
       
        รศ.ดร.สำเริง รัตนระพี มียินดีพร้อมให้ความช่วยเหลือหลักสูตรล้างพิษตับของชาวสันติอโศก โดยพร้อมจะช่วยตรวจสิ่งที่ออกมาจากตับว่าสิ่งที่ออกมาคืออะไร เพื่อการพัฒนาหลักสูตรล้างพิษตับในทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ให้มีผลที่มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
       
        ทั้งนี้ รศ.ดร.สำเริง รัตนระพี ยังได้เขียนบทความสั้นๆฝากเอาไว้อย่างน่าสนใจในหลักสูตรล้างพิษตับ ให้กับคุณกอบ พันธมิตรฯที่สมุยอีกด้วย โดยระบุความตอนหนึ่งว่า:
       
        หน้าที่หลักของตับ ผลิตน้ำดีให้ถุงน้ำดี ช่วยกรองเลือด ส่งเลือดดีเข้าสู่ร่างกาย และส่งเลือดไปที่ไต ล้างสารพิษ และตับยังช่วยย่อยอาหาร ดูแล ผม ขน เล็บ
       
        ถ้าตับทำงานหนัก ไตมาช่วยทำงาน เมื่อทำงานหนัก ตับก็จะเสีย ไตก็จะเสื่อม
       
        ตับทำงานหนัก เพราะกินบ่อย กินผิดเวลา กินจุบจิบทั้งวัน ที่สำคัญที่สุด กินอาหารแล้วเข้านอน อันนั้นคุณกำลังทำร้ายตับ โดยเฉพาะเวลา 01.00 น.-03.00 น. ร่างกายต้อนอนหลับสนิท และเป็นเวลาของตับ จะต้องขับสารพิษออกจากร่างกาย ก็ไม่ควรทานอาหารในเวลานี้ ถ้าจะกินก็ควรให้เลย 03.00 น.ไปแล้ว
       
        และถึงแม้จะไม่ได้กินอะไรจุบจิบ ตับก็ต้องรับอารมณ์ โกรธ โมโห อิจฉา หรือ เครียด เมื่อมีอารมณ์เหล่านี้ เซลล์ในตับก็จะตายไปเป็นจำนวนมาก ทำให้ตับเสื่อมเร็วขึ้น
       
        การเพิ่มภาระให้ตับคือ การโกรกสีผม ทาเล็บ ใช้ยาสระผม ทาปากด้วยเครื่องสำอางที่มีสารเคมีเจือปน สารเคมีสะสมจะส่งไปถึงตับโดยตรงแล้ว พอตับมีปัญหา ขอบใต้ตาจะดำ อาหารก็ไม่ย่อย ท้องจะอืด ลมแน่นท้อง เลือดไม่ไปเลี้ยงกระดูกเชิงกราน มดลูกเริ่มโต เจ็บถึงส้นเท้า ผู้ชายก็เป็นต่อมลูกหมากได้เหมือนกัน
 
        ถึงจะบำรุงอะไร แต่ถ้าสารพิษตกค้างอยู่ในร่างกาย ก็ไม่เกิดประโยชน์

       
        นอกจากนี้ รศ.ดร.สำเริง รัตนระพี ยังเขียนเป็นบทความให้ความเห็นต่อความสำคัญในการล้างลำไส้เอาไว้อย่างน่าสนใจเช่นเดียวกัน ในหัวข้อ “อาหารผัดน้ำมัน” ซึ่งมีเนื้อหาดังนี้
       
        ในน้ำมันที่ประกอบอาหาร ถ้ามีส่วนประกอบของน้ำมันปาล์มอยู่ด้วยไม่ควรนำเข้าร่างกาย เพราะน้ำมันปาล์มน่าจะสกัดไปใช้เป็นเชื้อเพลิงอย่างอื่น ถ้าจะบอกว่าน้ำมันปาล์มไม่มีโคเรสเตอรอล ถ้าอย่างนั้นน้ำมันดีเซล เบนซิน ก็ไม่มีโคเรสเตอรอลเหมือนกัน แล้วน้ำมันเหล่านี้สมควรจะเอามากินเล่นได้หรือไม่
       
        ดูจากกะทะและรอบๆเตาแก๊ส หรือท่อน้ำทิ้งที่ล้างจาน จะมีครบเหนียวๆ ของน้ำมีนเกาะติดอยู่ แต่เราล้างมันออกได้ แล้วงถ้าเรากินอาหารผันน้ำมันเป็นประจำ น้ำมันที่กินเข้าไปโดยอุณหภูมิของร่างกายที่ 37 องศาเซลเซียสตลอดเวลา น้ำมันจะเหนียวเป็นกาวยึดติดที่ผนังลำไส้ เป็นเวลานานก็จะหนาตัวขึ้น ไปขวางระบบดูดซึม
       
        ระบบดูดซึมของร่างกายก็จะเสียไป แล้วเราจะส่งอะไรไปล้างมันได้ เมื่อระบบดูดซึมเสีย ลำไส้จะดูดซึมอาหารที่เป็นประโยชน์ไปสร้างเม็ดเลือดไม่ได้ กินยาหรือวิตามินก็ไม่ดูดซึม เพราะผ่านชั้นไขมันที่ผนังลำไส้ไม่ได้ หรือผ่านไปได้น้อย
       
        ต่างกับการให้น้ำเกลือโดยการฉีดเข้าเส้นเลือด โดยไม่ต้องผ่านระบบดูดซึม แต่ใครจะให้น้ำเกลือได้ทุกวัน คงไม่มี
       
        เมื่อระบบดูดซึมไม่ได้ พวกสารอาหารและโปรตีนจะถูกส่งไปให้ไตขับทิ้ง ไตก็ต้องทำงานหนักและอ่อนล้า ผลที่ตามมาคือความเจ็บป่วย และเกิดโรคต่างๆ
       
        ทุกๆ คนที่เคยกินอาหารผัดน้ำมันหรือของทอดน้ำมันบ่อยๆหรือทุกวัน ควรต้องล้างลำไส้เพื่อให้ระบบดูดซึมทำงานให้ดีขึ้น
       
        การไม่ล้างลำไส้ก็เปรียบเสมือนการกินข้าวแล้วไม่ล้างจาน มื้อต่อไปก็ใช้จานใบเก่านั้นแหละไปใส่กินข้าวใหม่

ขอขอบพระคุณข้อมูลจาก อ.ปานเทพ พัวพงษพันธ์ 

ดีท็อกซ์ คืออะไร สวนทวารล้างพิษคืออะไร

ดีท็อกซ์ คืออะไร สวนทวารล้างพิษคืออะไร

วิธีทำดีท็อกซ์ การล้างพิษ

          คุณรู้ไหม การกินอาหารผิดๆ อากาศเป็นพิษที่เราหายใจเข้าไป เชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมต่างๆ ตลอดจนความเครียด รวมทั้งปฏิกิริยาทางเคมีในร่างกายของเราซึ่งเกิดขึ้นตลอดเวลา ล้วนแต่ทำให้เกิด ท็อกซิน (TOXIN) ขึ้นในตัวเราทั้งนั้น

          ท็อกซิน (Toxin) คือ พิษ

          เมื่อท็อกซินสะสมอยู่ในตัวเรามากๆเข้า ก็จะทำลายระบบภูมิชีวิต จนอาจทำให้เราเจ็บป่วยเป็นโรคต่างๆขึ้นได้
            อาการต่างๆ เช่น ลิ้นเป็นฝ้า ตาขุ่น ปากแห้ง จมูกแห้ง ตัวร้อน หน้าตาไม่สดใส ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว คอ หลัง ไหล่ นอนไม่หลับ ฯลฯ คือสัญญาณที่บอกว่า คุณกำลังมีท็อกซินสะสมอยู่มาก
            ถึงคราวต้องกำจัดท็อกซินเหล่านี้ออกเสียก่อนที่มันจะทำลายสุขภาพของคุณมากไปกว่านี้ วิธีกำจัดท็อกซินเรียกว่า ดีท็อกซิฟิเคชั่น (DETOXIFICATION) หรือที่เรียกกันสั้นๆว่าดีท็อกซ์“ 

                   คุณอาจเคยได้ยินว่า ดีท็อกซ์ คือ การสวนทวาร ไม่ใช่ทั้งหมดค่ะ

            แท้จริงวิธีที่จะดีท็อกซ์หรือกำจัดท็อกซินออกจากร่างกาย มีอยู่ด้วยกัน 5 วิธี

   -การสวนทวาร
   -การอบไอน้ำ อบซาวน่า
   -การออกกำลัง กายบริหาร และการนวด
   -การใช้ยา สมุนไพร และเอนไซม์
   -การถ่ายเลือด (วิธีนี้ต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น)

          ถ้าคิดจะกำจัดท็อกซินออกจากร่างกาย ควรทำหลายๆวิธีรวมกันค่ะถึงจะสามารถกำจัดพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญเมื่อขับท็อกซินออกไปแล้ว ต้องพยายามควบคุมท็อกซินที่จะเกิดขึ้นใหม่ให้น้อยที่สุด ด้วยการกินอาหารที่ปรับสมดุล อาหารสุขภาพ และไม่สะสมความเครียดค่ะ

สวนทวารล้างพิษคืออะไร

        การสวนทวาร หรือที่มักเรียกติดปากแบบย่อๆว่า "ดีท็อกซ์" เป็นวิธีกำจัดท็อกซินออก     จากร่างกายวิธีหนึ่ง โดยเฉพาะท็อกซินที่คั่งค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่

        ไม่ใช่ทำเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยของโรค หรือเพื่อแก้อาการท้องผูก แต่อย่างใด การถ่ายอุจจาระออกมาด้วยถือว่าเป็นผลพลอยได้เท่านั้นค่ะ
         บางคนอาจตั้งข้อสงสัยว่า ฉันถ่ายอุจจาระทุกวันโดยไม่ท้องผูก คงไม่มีท็อกซิน และไม่จำเป็นต้องทำดีท็อกซ์ ความจริงแล้วในลำไส้ของเราจะมีลักษณะเป็นขดซ้อนทับเป็นซอกหลืบ ลักษณะอย่างนี้เองทำให้เกิดการสะสมของของเสียในลำไส้ใหญ่ แม้ถ่ายอุจจาระทุกวันก็ไม่สามารถกำจัดสิ่งเหล่านี้ออกไปได้หมด แต่การสวนล้างทวารช่วยได้ค่ะ

การทำดีท็อกซ์ต้องใช้น้ำสำหรับสวนเข้าทางทวารหนัก น้ำสำหรับดีท็อกซ์มีหลายสูตร คือ

สูตรน้ำกาแฟ ของนายแพทย์แมกซ์ เกอร์สัน
ใช้กาแฟผงบริสุทธิ์ (ชนิดไม่ปรุงแต่ง) 2 ช้อนโต๊ะ ต้มกับน้ำ 1 ลิตรจนเดือด แล้วกรองเอาผงออกทิ้งให้น้ำอุ่น แล้วจึงนำมาสวนท้อง กาแฟไม่ควรใช้กาแฟสำเร็จรูป เพราะจะมีส่วนผสมของเนยมากเกินไป สามารถหาซื้อกา แฟได้ตามซูเปอร์มาร์เก็ตใหญ่ๆ เช่น ฟู้ดแลนด์ ฟูจิ,ท็อปส์ซูเปอร์มาร์เก็ต อาจใช้ยี่ห้อตุงฮู อโรมา ซูซูกิ (ชนิดพรีเดียม) หรือตามร้านขายอาหารและผลิตภัณฑ์สุขภาพทั่วๆ ไป

สูตรน้ำส้มมะขาม (มะขามเปียก)
ใช้ส้มมะขาม 1 กำมือ ต้มกับน้ำ 1 ลิตรจนเดือด แล้วกรองเอาแต่น้ำ

 สูตรน้ำมะนาว
ใช้มะนาว 3-4 ลูกคั้นน้ำ ผสมน้ำอุ่น 1 ลิตร

 สูตรน้ำอุ่นเปล่าๆ
ใช้น้ำอุ่นประมาณ 1.5 ลิตร

     **** สูตรน้ำดีท็อกซ์ที่นิยมกันมากที่สุดคือ สูตรน้ำกาแฟ เพราะในกาแฟมี "คาเฟอีน" ที่ช่วยในการกระตุ้นให้ท็อกซินถูกขับมาตามเครือข่ายเส้นเลือดดำ ซึ่งเชื่อมโยงต่อเนื่องตั้งแต่ตับ กระเพาะ ถุงน้ำดี ตับอ่อน ม้าม ลำไส้เล็ก จนถึงลำไส้ใหญ่

หมายเหตุ : ผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคไต โรคปอด โรคลมบ้าหมู (ลมชัก) ตกเลือด และ ท้องเสียอย่างรุนแรง ไม่ควรอบสมุนไพร (ซาวน่า) ล้างพิษ





วิธีการสวนทวารล้างพิษ

1. นำน้ำกาแฟ ที่อุ่นพอดีกับอุณหภูมิร่างกายของเรา (หรือน้ำดีท็อกซ์สูตรอื่นๆ) ใส่ถุง หรือหม้อสำหรับ    สวน โดยปิดวาวส์ที่ปลายท่อก่อนใส่น้ำกาแฟหรือน้ำสมุนไพร


2. แขวนถุงดีท็อกซ์ไว้ด้านปลาย เท้าให้สูงจากพื้นประมาณ 120 ซม. (ถ้าแขวนสูงเกินไปความดันน้ำจะมากทำให้น้ำไหลเร็ว อาจกลั้นไม่อยู่ ถ้าแขวนต่ำเกินไปน้ำจะไหลช้า)


3. เปิดวาวส์เพื่อไล่อากาศออกจากสายยาง โดยให้น้ำกาแฟไหลผ่านท่อเล็กน้อย แล้วปิดวาวส์ หลังจากนั้นให้ทาวาสลีนที่ปลายท่อประมาณ 2 นิ้ว


4. นอนตะแคงขวา (สะโพกด้านขวาลงพื้น) เหยียดขาขวาตรง ขาซ้ายก่ายบนขาขวาเหมือนท่ากอดหมอนข้าง


5. สอดปลายท่อที่ทาวาสลีน (หรือน้ำสบู่เหลว) เรียบร้อยแล้วเข้าทางทวารหนัก ลึกประมาณ 2 นิ้ว เปิดวาวส์ให้น้ำกาแฟเข้าจนหมด แล้วดึงท่อออกจากทวารหนัก


6. ให้นอนหงาย เหยียดขาตรง ใช้มือนวดท้องวนจากขวาไปซ้าย (เหนือบริเวณสะดือใต้ชายโครง) อั้นให้ได้นานประมาณ 5-10 นาที แล้วลุกขึ้นถ่าย ขณะถ่ายไม่ต้องเบ่ง

ช่วงที่นอน ท่านอน คือตะแคงขวา ช่วงที่ปล่อยน้ำให้หายใจยาวๆช้าๆ และนอนลูบท้องหมุนตามเข็มนาฬิกาช่วงที่ปล่อยน้ำ ถ้ารู้สึกปวดอึ ให้หายใจยาวๆ ช้าๆ อั้นเอาไว้ หรือถ้าไม่อั้นให้ปิดวาว์ปล่อยน้ำชั่วคราวเมื่อหายปวดก็ค่อยๆปล่อยน้ำออกมาใหม่ เมื่อน้ำหมดแล้วใหนอนหงาย ลูบท้องไปเรื่อยๆ ประมาณ 5- 10 นาที(อดทนให้นานที่สุด)เท่าที่จะสามารถทนได้หลังจากนั้นก็เข้าห้องน้ำ..ปดปล่อย.....

 ข้อควรรู้เกี่ยวกับการสวนทวาร

 หลังทำดีท็อกซ์ด้วยการสวนทวาร คุณจะรู้สึกโล่งโปร่งเบาสบายตัว แต่หากคุณมีอาการในทางตรงข้าม แสดงว่าร่างกายอาจไม่เหมาะกับการดีท็อกซ์วิธีนี้ ควรหยุดทำค่ะ
สำหรับคุณๆที่ประสบความสำเร็จอย่างดีในการทำดีท็อกซ์ ขอแนะนำให้ทำต่อเนื่องสัก 3 หรือ 5 วัน (วันละครั้ง) เพื่อล้างพิษออกให้หมด หลังจากนั้นอาจทำเมื่อมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัวเป็นไข้ ปวดเมื่อยตามตัวตามข้อ ลิ้นเป็นฝ้า ก็สามารถสวนทวารล้างพิษได้อีก
อย่างไรก็ตาม ไม่ควรทำดีท็อกซ์บ่อยเกินไป ประเภทว่าทำทุกวัน หรือทุกสัปดาห์ เพราะจะทำให้แบคทีเรียที่ดีในลำไส้ใหญ่ของเราพลอยถูกทำลายด้วย แถมยังอาจมีผลให้ระบบขับถ่ายผิดปกติไป
เวลาที่เหมาะสมในการทำดีท็อกซ์คือ ตอนเช้าหลังจากเข้าห้องน้ำถ่ายเรียบร้อยแล้ว ก่อน อาหารเช้า  จะทำให้กลั้นได้ดีและล้างลำไส้ได้สะอาด สบายตัว หากไม่สะดวกอาจทำช่วงสายหรือบ่ายหลังจากกินอาหารไปแล้ว 2 ชั่วโมง ไม่แนะนำให้ทำก่อนนอน เพราะจะทำให้ตื่นขึ้นมาหิวเวลากลางคืน และทำให้นอนไม่หลับ

ข้อควรระวัง :

-ก่อนจะสวนทวารต้องปล่อยน้ำออกจากสายยางเพื่อไล่ลมก่อน มิเช่นนั้นจะเกิดลมในช่องท้อง ทำให้อึดอัด และในกรณีคนที่ไม่กินกาแฟ อาจเกิดอาการคลื่นไส้ เวียนหัวได้
-คนที่ผ่าตัดไส้ติ่ง ให้ใช้น้ำสวนท้องแค่ 800-1,000 ซี.ซี.
-คนที่ผ่าตัดลำไส้ใหญ่ จะมากหรือน้อย โดยเฉพาะผู้ตัดลำไส้ใหญ่และทำรูถ่ายหน้าท้อง ไม่แนะนำให้ทำดีท็อกซ์
-คนที่เป็นริดสีดวงทวาร ต้องใช้เจลทาที่ทวารหนักและปลายสายยางให้มากกว่าปกติ และ หากมีบาดแผลที่ทวารหนักไม่ควรทำดีท็อกซ์

 

วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2558

การล้างพิษตับ (สูตรสั้น) ๑ วัน ๒ คืน (สูตรศีรษะอโศก)

การล้างพิษตับ (สูตรสั้น) ๓ วัน ๒ คืน (สูตรศีรษะอโศก) 

ก่อนล้างพิษตับ ทำร่างกายให้แข็งแรง จิตใจผ่อนคลายเบิกบาน

ขั้นตอนการล้างพิษตับ                                              

วันก่อนล้างพิษ

๑๕.๐๐ น.                                หยุดกินของขบเคี้ยว  ดื่มน้ำผลไม้  หรือน้ำเปล่าได้
๑๕.๐๐ น.                                สวนล้างลำไส้
๑๘.๐๐ น.                                ดื่มสมุนไพรเพื่อ กวาดล้างลำไส้ 1 แก้ว
๑๘.๓๐ น.                                ดื่มน้ำคุณบังเอิญ
๒๐.๐๐ น.                                ดื่มน้ำธัญพืช

วันที่ ๑

๐๕.๓๐  น.                               ตื่นนอน /วัดค่า ph / อมน้ำมันมะพร้าว/ออกกำลังกาย/แช่เท้า/พอกหน้า/ดื่มน้ำสมุนไพร
๐๗.๓๐ น.                                สวนล้างลำล้างไส้
๐๙.๐๐ น.                                ดื่มน้ำสมุนไพรเพื่อ กวาดล้างลำไส้ 1 แก้ว
๐๙.๓๐ น.                                คุณดื่มน้ำบังเอิญ
๑๐.๓๐ น.                                ดื่มน้ำมะนาวน้ำผึ้งโซดา

หลังดื่มมะนาวโซดาพักผ่อนตามอัธยาศัย

๑๒.๐๐ น.                                ดื่มน้ำสมุนไพรเพื่อ กวาดล้างลำไส้ 1 แก้ว
๑๒.๓๐ น.                                ดื่มน้ำคุณบังเอิญ
๑๒.๓๐ น.                                กิจกรรม
๑๓.๓๐ น.                                ดื่มน้ำสับปะรด มะละกอ แยกกาก
๑๔.๐๐ น.                                ต่อ กิจกรรม
๑๕.๐๐ น.                                ดื่มน้ำสมุนไพรเพื่อ กวาดล้างลำไส้ 1 แก้ว
๑๕.๓๐ น.                                ดื่มน้ำคุณบังเอิญ

หลัง ๑๕.๑๕ น.หยุดน้ำผลไม้ทุกชนิด ยกเว้นน้ำเปล่า

๑๖.๓๐ น.                                สวนล้างลำไส้ระบายพิษ
๒๐.๐๐  น.                                ดูวิดีทัศน์ , พูดคุยแนะนำให้ความรู้เรื่องหลังการออกคอร์ส 
๒๒.๐๐ น.                                ดื่มน้ำมันมะกอก 150cc ผสม น้ำมะนาว  150cc

หลังดื่มน้ำมันมะกอกและน้ำมะนาว ให้ปฏิบัติดังนี้

๑.     นอนหงายหรือนอนตะแคงขวา(หนุนหมอนสูง) เท่านั้น
๒.     ถ้ากลัวอาเจียนให้ใช้ถุงน้ำร้อนประคบที่ท้องและให้ประคองตัวเองให้ถึงเวลา ๐๒.๐๐ น.
๓.     ของเสียจากตับ จะเริ่มออกเวลาประมาณ ๐๒.๐๐น.ให้เก็บของเสียต่างๆไว้จนจบหลักสูตร

วันที่ ๒

๐๖.๐๐ น.         ตื่นนอน / อมน้ำมันมะพร้าว / ออกกำลังกาย /แช่เท้า / พอกหน้า
๐๘.๐๐ น.        สวนล้างลำไส้
๑๐.๓๐ น.        สวนล้างลำไส้

เก็บของเสียทั้งหมดไว้ตั้งแต่ ๐๒.๐๐ น. ( ทั้งที่ถ่ายเอง และรวมกับที่สวนล้างลำไส้ )

๑๒.๐๐ น.        รับประทานอาหารพร้อกัน                                                                                

ระหว่างวันให้ดื่มน้ำเอนไซด์ ครั้งละ ๓๐ ซีซี ( ๓ ช้อนโต๊ะ )แล้วดื่มน้ำตามมากๆ
หลังทานอาหารเสร็จเรียบร้อยวิทยากรวินิจฉัยของเสีย แนะนำให้ความรู้

  


โพสต์แนะนำ

5 เฮิร์บ แฮร์ เซรั่ม 5 HERB HAIR SERUMผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผม(ไม่ต้องล้างออก)

                                              5 เฮิร์บ แฮร์ เซรั่ม  5 HERB HAIR  SERUM ผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผม(ไม่ต้องล้างออก) ผมห...