ประโยชน์ที่จะได้รับจากการล้างพิษตับ
ถ้าเราไม่รู้จักวิธีดูแลตับไม่รู้จักวิธีเอาพิษออก อาจทำให้ตับถูกทำลายด้วยพิษ ให้สูญเสียหน้าที่ต่างๆ ทำให้ร่างกายเจ็บป่วยได้การเอาพิษออกจากตับ (Liverflushing) จึงเป็นวิธีการดูแลตับที่ดีมาก สามารถเอาพิษออกจากร่างกายได้ในปริมาณที่มากจึงมีประโยชน์ดังนี้คือ
1. ช่วยสร้างเอ็นไซม์ชนิดต่างๆหลายชนิดในร่างกายที่ช่วยตับในการกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย
2. ป้องกันตับจากสารพิษ ยา สารเคมี หรือแอลกอฮอล์
3. ช่วยให้ตับฟื้นตัวเร็วขึ้น เร่งการขับสารพิษตกค้างในร่างกายปกป้องตับจากการทำเคมีบำบัด ในผู้ป่วยมะเร็ง เพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants)ที่ช่วยต่อต้านการทำลายเซลล์โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซลล์ตับไม่ให้ถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ
4. ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรงสามารถต่อต้านเชื้อโรคและสิ่ง แปลกปลอม บรรเทาความรุนแรงของหวัด หรืออาการภูมิแพ้
5. ช่วยให้ร่างกายสามารถรีไซเคิลสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆกลับมาใช้ได้ใหม่ เช่น วิตามินซี
6. ช่วยลดการสะสมของไขมันที่ตับและลดการเกาะตัวของไขมันที่ผนังหลอดเลือด
7. ช่วยป้องกันและต่อสู้กับโรคมะเร็ง ช่วยในการซ่อมแซมเซลล์และคืนความสดชื่นให้กับเซลล์ ทั่วร่างกาย
8. ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของเนื้อเยื่อในร่างกายโดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับผิวหนัง คอลลาเจน อิลาสติน เส้นเอ็นและความแข็งแรงการยืดหยุ่นของหลอดเลือด
1. ช่วยสร้างเอ็นไซม์ชนิดต่างๆหลายชนิดในร่างกายที่ช่วยตับในการกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย
2. ป้องกันตับจากสารพิษ ยา สารเคมี หรือแอลกอฮอล์
3. ช่วยให้ตับฟื้นตัวเร็วขึ้น เร่งการขับสารพิษตกค้างในร่างกายปกป้องตับจากการทำเคมีบำบัด ในผู้ป่วยมะเร็ง เพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants)ที่ช่วยต่อต้านการทำลายเซลล์โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซลล์ตับไม่ให้ถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ
4. ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรงสามารถต่อต้านเชื้อโรคและสิ่ง แปลกปลอม บรรเทาความรุนแรงของหวัด หรืออาการภูมิแพ้
5. ช่วยให้ร่างกายสามารถรีไซเคิลสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆกลับมาใช้ได้ใหม่ เช่น วิตามินซี
6. ช่วยลดการสะสมของไขมันที่ตับและลดการเกาะตัวของไขมันที่ผนังหลอดเลือด
7. ช่วยป้องกันและต่อสู้กับโรคมะเร็ง ช่วยในการซ่อมแซมเซลล์และคืนความสดชื่นให้กับเซลล์ ทั่วร่างกาย
8. ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของเนื้อเยื่อในร่างกายโดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับผิวหนัง คอลลาเจน อิลาสติน เส้นเอ็นและความแข็งแรงการยืดหยุ่นของหลอดเลือด
ผู้ที่ควรล้างพิษตับคือผู้ที่มีอาการดังนี้
1.1 ทำได้ในผู้ที่มีอาการพิษสะสม เช่น
* อาการปวดศีรษะบ่อย หงุดหงิดประจำ
* ปวดเมื่อยหลัง ไหล่ คอ
* เบื่ออาหาร ท้องอืดบ่อย
* หน้าตาหมองคล้ำ ไม่ขาวสดใสผิวพรรณหยาบกร้าน
* มีแผลร้อนในในปากเป็นประจำ
* ดูดซึมสารอาหารจำพวกแป้งมากไปทำให้ร่างกายอ้วน
* ขับถ่ายและละลายสารพิษไม่ออก จะเกิดสิวเสี้ยนบนใบหน้า และฝ้าดำบนใบหน้า
* อ่อนเพลีย ง่วงนอนสมาธิไม่ดี ความจำเสื่อม
* โรคท้องผูกและ ริดสีดวงทวาร
* สตรีมีรอบเดือนมาไม่ปรกติ
* ประสาทตึงเครียดและร่างกายไม่แข็งแรง บุรุษมีสมรรถภาพทางเพศเสื่อม
* ผิวหนังเป็นผื่นคันลมหายใจมีกลิ่นเหม็น ผายลมบ่อย
* โรคเรื้อรัง เช่น โรคไตเบาหวาน ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดตีบตัน
* ภูมิแพ้การต้านทานการติดเชื้อโรคของเด็ก และผู้สูงอายุ
* ไตทำงานหนัก (จากการช่วยขับพิษยาตกค้างแทน)
1.1 ทำได้ในผู้ที่มีอาการพิษสะสม เช่น
* อาการปวดศีรษะบ่อย หงุดหงิดประจำ
* ปวดเมื่อยหลัง ไหล่ คอ
* เบื่ออาหาร ท้องอืดบ่อย
* หน้าตาหมองคล้ำ ไม่ขาวสดใสผิวพรรณหยาบกร้าน
* มีแผลร้อนในในปากเป็นประจำ
* ดูดซึมสารอาหารจำพวกแป้งมากไปทำให้ร่างกายอ้วน
* ขับถ่ายและละลายสารพิษไม่ออก จะเกิดสิวเสี้ยนบนใบหน้า และฝ้าดำบนใบหน้า
* อ่อนเพลีย ง่วงนอนสมาธิไม่ดี ความจำเสื่อม
* โรคท้องผูกและ ริดสีดวงทวาร
* สตรีมีรอบเดือนมาไม่ปรกติ
* ประสาทตึงเครียดและร่างกายไม่แข็งแรง บุรุษมีสมรรถภาพทางเพศเสื่อม
* ผิวหนังเป็นผื่นคันลมหายใจมีกลิ่นเหม็น ผายลมบ่อย
* โรคเรื้อรัง เช่น โรคไตเบาหวาน ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดตีบตัน
* ภูมิแพ้การต้านทานการติดเชื้อโรคของเด็ก และผู้สูงอายุ
* ไตทำงานหนัก (จากการช่วยขับพิษยาตกค้างแทน)
1.2 ผู้เจ็บป่วยด้วยโรคหรือมีอาการต่างๆดังนี้
1. สิว
2. ไขมันในเลือดสูง
3. โรคผิวหนังผื่นคันต่างๆ
4. หอบ หืด
5. ภูมิแพ้
6. นิ่วตับและนิ่วถุงน้ำดีปวดท้องจากนิ่วถุงน้ำดี ซึ่งนิ่วจะเป็นตัวขัดขวางการทำงานของตับทำให้เกิดโรคต่างๆได้เช่นไขมันพอกตับ ตับแข็ง มะเร็งตับ ตับวาย
7. โภชนาการพร่อง
8. ปวดไหล่ ปวดหลังปวดแขน
9. ปวดท้อง ปวดตับ
10. ความดันโลหิตสูง
11. โรคหัวใจ เจ็บหน้าอก
12. โรคเกี่ยวกับกระเพาะอาหารลำไส้แปรปรวน ท้องผูก
13. มะเร็งระยะเริ่มต้น
14. พาร์กินสัน
15. อัลไซเมอร์
16. ลมชัก
17. โรคอื่นๆที่เกี่ยวกับระบบเลือดลม เช่น น้ำเหลืองไม่ดี โรคเกี่ยวกับระบบเลือดต่างๆ
1.3. มีความเข้าใจในการล้างพิษตับ มีความอดทน
1.4. มีเวลาให้กับการล้างพิษตับเวลาที่เหมาะสมกับการล้างพิษตับควรเป็นดังนี้
- เวลาที่สะดวกไม่เร่งรีบ
- เป็นวันหยุดพักผ่อน ไม่มีเรื่องกดดันรอบข้าง
1.5 ข้อระมัดระวัง
- สำหรับผู้ที่ร่างกายเพลียมากๆเจ็บป่วยด้วยโรคเฉียบพลัน เช่น ไข้ ไข้หวัด โรคหัวใจบางชนิด เด็กในวัยเจริญเติบโต(เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีที่ร่างกายปรกติ) หญิงตั้งครรภ์ควรงดหรือเว้น
หลักสูตรนี้ต้องล้างลำไส้ก่อนล้างตับ
1. สิว
2. ไขมันในเลือดสูง
3. โรคผิวหนังผื่นคันต่างๆ
4. หอบ หืด
5. ภูมิแพ้
6. นิ่วตับและนิ่วถุงน้ำดีปวดท้องจากนิ่วถุงน้ำดี ซึ่งนิ่วจะเป็นตัวขัดขวางการทำงานของตับทำให้เกิดโรคต่างๆได้เช่นไขมันพอกตับ ตับแข็ง มะเร็งตับ ตับวาย
7. โภชนาการพร่อง
8. ปวดไหล่ ปวดหลังปวดแขน
9. ปวดท้อง ปวดตับ
10. ความดันโลหิตสูง
11. โรคหัวใจ เจ็บหน้าอก
12. โรคเกี่ยวกับกระเพาะอาหารลำไส้แปรปรวน ท้องผูก
13. มะเร็งระยะเริ่มต้น
14. พาร์กินสัน
15. อัลไซเมอร์
16. ลมชัก
17. โรคอื่นๆที่เกี่ยวกับระบบเลือดลม เช่น น้ำเหลืองไม่ดี โรคเกี่ยวกับระบบเลือดต่างๆ
1.3. มีความเข้าใจในการล้างพิษตับ มีความอดทน
1.4. มีเวลาให้กับการล้างพิษตับเวลาที่เหมาะสมกับการล้างพิษตับควรเป็นดังนี้
- เวลาที่สะดวกไม่เร่งรีบ
- เป็นวันหยุดพักผ่อน ไม่มีเรื่องกดดันรอบข้าง
1.5 ข้อระมัดระวัง
- สำหรับผู้ที่ร่างกายเพลียมากๆเจ็บป่วยด้วยโรคเฉียบพลัน เช่น ไข้ ไข้หวัด โรคหัวใจบางชนิด เด็กในวัยเจริญเติบโต(เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีที่ร่างกายปรกติ) หญิงตั้งครรภ์ควรงดหรือเว้น
หลักสูตรนี้ต้องล้างลำไส้ก่อนล้างตับ
การล้างลำไส้ มีหลายขั้นตอน เช่น ให้งดอาหารเนื้อ นม ไข่ น้ำมันอาหารผัด ทอด หรืออดอาหารทุก อย่างโดยดื่มน้ำสมุนไพร แทนร่วมกับกินยาสมุนไพรล้างลำไส้หรือร่วมกับวิธีสวนล้างลำไส้ใหญ่
การล้างพิษตับ
หลังจากล้างลำไส้แล้วก็จะล้างพิษจากตับ โดยวันที่ล้างพิษตับควรจะงดกินอาหารทุกชนิดดื่มน้ำเปล่า หรือน้ำชาต่างๆ แทน แต่ถ้างดอาหารทางปากได้ยิ่งดี เพื่อไม่ให้ระบบย่อยอาหารทำงานเพื่อให้อวัยวะภายในไม่เสียพลังงานไปกับการย่อยอาหารจะได้มีพลังในการขับพิษได้เต็มที่ แล้วกินน้ำมันมะกอกผสมน้ำผลไม้ตระกูลส้ม
ล้างลำไส้หลังล้างตับ
หลังจากล้างพิษจากตับและถุงน้ำดีแล้วการขับพิษต้องใช้เวลาในการเคลื่อนพิษออกจากร่างกาย จึงต้องกินอาหารอ่อนๆประมาณ 3 วัน กินยาหรืออาหารบำรุงตับอย่างน้อย7 วัน และควรสวนล้างลำไส้ใหญ่ (ดีท็อกซ์) อย่างน้อย 7วัน เพื่อขับพิษออกจากร่างกาย ถ้ามีเวลามากๆ ใช้กระเป๋าน้ำร้อนวางทาบลงไปใช้ผ้าห่อหน้าท้องไว้ประมาณ 1 ชั่วโมงจะช่วยให้การขับนิ่วของเสียออกได้ดี (ถ้าไม่พร้อมไม่ต้องทำก็ได้) ในช่วงเวลานี้อาจพบก้อนนิ่ว ไขมันของเสียต่างๆหลุดออกมาพิษที่ออกจากตับ ตับอ่อน และถุงน้ำดี อีกเรื่อยๆ
พิษที่ออกมาจากตับถุงน้ำดี มีลักษณะดังนี้ คือ
1. ลอยอยู่ข้างบน คือ ไขมันจากตับ และนิ่วจากถุงน้ำดี ไขมันจากตับจะมีสีเหลือง สีเขียว สีดำก้อนขรุขระ หรือ เป็นน้ำสีดำ สีเหลือง สีเทา มันติดมือล้างไม่ออกต้องใช้น้ำยาล้างจาน หรือสบู่ล้างหลายๆครั้ง
2. ลอยอยู่ตรงกลาง จะเป็นเซลล์มะเร็งมีลักษณะเหมือนเห็ดหูหนูขาว
3. อยู่ล่างสุด คือเม็ดเลือดแดง ที่หมดอายุ
4. ลักษณะนิ่วจากถุงน้ำดี จะมีสีเขียวเหลือง ดำ ก้อนค่อนข้างกลม
2. ลอยอยู่ตรงกลาง จะเป็นเซลล์มะเร็งมีลักษณะเหมือนเห็ดหูหนูขาว
3. อยู่ล่างสุด คือเม็ดเลือดแดง ที่หมดอายุ
4. ลักษณะนิ่วจากถุงน้ำดี จะมีสีเขียวเหลือง ดำ ก้อนค่อนข้างกลม
อาการหลังล้างพิษ
ส่วนใหญ่จะรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นในทันทีหลายคนที่หายจากโรคความดันโลหิตสูง เบาหวานระยะเริ่มต้นในเช้าวันรุ่งขึ้นเลยทันทีในบางคนอาจจะรู้สึกอ่อนเพลีย บางคนมีพิษปะทุออกทางผิวหนัง(เป็นเพราะดีท็อกซ์ไม่เพียงพอ) อย่าตกใจ เป็นอาการปกติ ให้พักผ่อน ช่วยร่างกายเอาพิษออกด้วยวิธีอื่นๆเช่น ตากแดด แช่มือ-แช่เท้า ให้กินอาหารอ่อนๆ อย่างน้อย 2-3 วันค่อยกินอาหารตามปกติ กินยาหรืออาหารบำรุงตับ และต้องทำดีท็อกซ์ เช้า - เย็น 7วัน
ล้างพิษแล้วต้องฟื้นฟูตับ
ส่วนใหญ่จะรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นในทันทีหลายคนที่หายจากโรคความดันโลหิตสูง เบาหวานระยะเริ่มต้นในเช้าวันรุ่งขึ้นเลยทันทีในบางคนอาจจะรู้สึกอ่อนเพลีย บางคนมีพิษปะทุออกทางผิวหนัง(เป็นเพราะดีท็อกซ์ไม่เพียงพอ) อย่าตกใจ เป็นอาการปกติ ให้พักผ่อน ช่วยร่างกายเอาพิษออกด้วยวิธีอื่นๆเช่น ตากแดด แช่มือ-แช่เท้า ให้กินอาหารอ่อนๆ อย่างน้อย 2-3 วันค่อยกินอาหารตามปกติ กินยาหรืออาหารบำรุงตับ และต้องทำดีท็อกซ์ เช้า - เย็น 7วัน
ล้างพิษแล้วต้องฟื้นฟูตับ
หลังจากที่ตับขับพิษออกแล้วตับอาจจะมีร่องรอยของแผลที่เกิดจากการหลุดลอกออกของนิ่ว ไขมัน หรือของเสียอื่นๆ (หมายถึงภายในตับในถุงน้ำดี คล้ายผ่านการผ่าตัดมาแต่ไม่มีแผลผ่าตัด) อาจทำให้รู้สึกอ่อนเพลียการฟื้นฟูตับจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องปฏิบัติคือ
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- บำรุงตับ ดื่มและกินอาหารบำรุงตับ วันแรกๆ ควรกินน้ำผักผลไม้ปั่น ข้าวต้มเพื่อสุขภาพ โดยกินอย่างน้อย3 วัน หลังจากนั้นก็ปฏิบัติดูแลสุขภาพตนเองแบบพอเพียงด้วยหลักปฏิบัติ 5 อ. (เอาพิษออกอาหารและน้ำปรับสมดุลร่างกาย อากาศ ออกกำลังกาย อารมณ์และจิตใจ)และหมั่นเอาพิษออกจากร่างกายเท่าที่รู้สึกสบาย
ผู้ป่วยหรือผู้มีอาการต่างๆ เมื่อผ่านการล้างพิษตับและถุงน้ำดี อาการต่างๆจะหายได้อย่างชัดเจน ตามประสบการณ์มักพบว่าทำมากกว่า 5 ครั้งจะเห็นผลชัดเจนแต่บางราย 1 ครั้งก็เห็นผลได้ การล้างพิษตับและถุงน้ำดีควรทำห่างกัน3 - 4 สัปดาห์ สามารถทำได้ทุกเดือนควรทำติดๆกันไปจนนิ่วหรือพิษหมด หรืออย่างน้อยปีละ 2-4 ครั้งจากประสบการณ์ 7-15 ครั้ง พิษจะออกมาหมด แล้วแต่การสะสมของแต่ละบุคคล หลังจากเอาพิษออกหมดแล้วเราจะสะสมใหม่โดยไม่รู้ตัวควรทำปีละ 2 ครั้ง
สิ่งที่ต้องเตรียม
● เตรียมตัว - เตรียมใจใจต้องพร้อม อดทน เข้าใจวิธีและผลการล้างพิษ
● เตรียมร่างกาย ล้างพิษตับได้ทุกคนทุกโรค ยกเว้น เด็กในวัยเจริญเติบโต คนที่ป่วยด้วยโรคเฉียบพลัน เช่นตับอักเสบเฉียบพลันไข้ ไข้หวัดเฉียบพลัน เพลียมากๆ อดอาหารพวก เนื้อ นม ไข่ น้ำมัน ของทอดไม่ได้ ควรฝึกกินอาหารสุขภาพมาก่อนหรือเคยอดอาหารมาจะดีมาก
● เตรียมเวลา เวลาที่พร้อม ว่าง วันหยุด ไม่เร่งรีบไม่มีสิ่งกดดันรอบข้าง
● สถานที่ล้างพิษตับ ต้องมีห้องน้ำพร้อม สะดวก บรรยากาศโปร่งโล่ง สบาย
● ควรเริ่มล้างพิษตับในวันที่ไม่ได้ทำงาน และไม่มีความกดดันจากสิ่งแวดล้อมมีเวลาพักผ่อนเพียงพอ
สิ่งที่ควรทำก่อนล้างพิษตับ
1. ควรดื่มน้ำแอปเปิลเขียว ก่อนไปล้างพิษตับ วันละ 1 ลิตร อย่างต่ำ 1 วัน
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- บำรุงตับ ดื่มและกินอาหารบำรุงตับ วันแรกๆ ควรกินน้ำผักผลไม้ปั่น ข้าวต้มเพื่อสุขภาพ โดยกินอย่างน้อย3 วัน หลังจากนั้นก็ปฏิบัติดูแลสุขภาพตนเองแบบพอเพียงด้วยหลักปฏิบัติ 5 อ. (เอาพิษออกอาหารและน้ำปรับสมดุลร่างกาย อากาศ ออกกำลังกาย อารมณ์และจิตใจ)และหมั่นเอาพิษออกจากร่างกายเท่าที่รู้สึกสบาย
ผู้ป่วยหรือผู้มีอาการต่างๆ เมื่อผ่านการล้างพิษตับและถุงน้ำดี อาการต่างๆจะหายได้อย่างชัดเจน ตามประสบการณ์มักพบว่าทำมากกว่า 5 ครั้งจะเห็นผลชัดเจนแต่บางราย 1 ครั้งก็เห็นผลได้ การล้างพิษตับและถุงน้ำดีควรทำห่างกัน3 - 4 สัปดาห์ สามารถทำได้ทุกเดือนควรทำติดๆกันไปจนนิ่วหรือพิษหมด หรืออย่างน้อยปีละ 2-4 ครั้งจากประสบการณ์ 7-15 ครั้ง พิษจะออกมาหมด แล้วแต่การสะสมของแต่ละบุคคล หลังจากเอาพิษออกหมดแล้วเราจะสะสมใหม่โดยไม่รู้ตัวควรทำปีละ 2 ครั้ง
สิ่งที่ต้องเตรียม
● เตรียมตัว - เตรียมใจใจต้องพร้อม อดทน เข้าใจวิธีและผลการล้างพิษ
● เตรียมร่างกาย ล้างพิษตับได้ทุกคนทุกโรค ยกเว้น เด็กในวัยเจริญเติบโต คนที่ป่วยด้วยโรคเฉียบพลัน เช่นตับอักเสบเฉียบพลันไข้ ไข้หวัดเฉียบพลัน เพลียมากๆ อดอาหารพวก เนื้อ นม ไข่ น้ำมัน ของทอดไม่ได้ ควรฝึกกินอาหารสุขภาพมาก่อนหรือเคยอดอาหารมาจะดีมาก
● เตรียมเวลา เวลาที่พร้อม ว่าง วันหยุด ไม่เร่งรีบไม่มีสิ่งกดดันรอบข้าง
● สถานที่ล้างพิษตับ ต้องมีห้องน้ำพร้อม สะดวก บรรยากาศโปร่งโล่ง สบาย
● ควรเริ่มล้างพิษตับในวันที่ไม่ได้ทำงาน และไม่มีความกดดันจากสิ่งแวดล้อมมีเวลาพักผ่อนเพียงพอ
สิ่งที่ควรทำก่อนล้างพิษตับ
1. ควรดื่มน้ำแอปเปิลเขียว ก่อนไปล้างพิษตับ วันละ 1 ลิตร อย่างต่ำ 1 วัน
ชนิดของน้ำแอปเปิ้ล คือน้ำแอปเปิลเขียวคั้นสดแยกกาก น้ำแอปเปิลกล่องที่ทำจากน้ำแอปเปิลเข้มข้น (Concentrate) น้ำแอปเปิลปลอดสารพิษคือแอปเปิลกล่องที่ทำจากผลไม้ น้ำแอปเปิลเขียวผสมองุ่นขาวก็ได้
เพราะเหตุใดจึงต้องดื่มน้ำแอปเปิลเขียว
กรด เมลิคเอซิคในน้ำแอปเปิลเขียวจะไปทำให้นิ่วอ่อนตัวจะทำให้น้ำดีที่ข้นเหนียวที่ขังอยู่ในถุงน้ำดีละลาย จะทำให้ท่อน้ำดีขยายตัว
หมายเหตุุ
ห้ามดื่มน้ำแอปเปิลพร้อมอาหารให้ดื่มก่อนอาหาร 30นาที หรือหลังอาหาร 2 ชั่วโมง วันละ 3– 4 ครั้ง ห้ามดื่มตอนกลางคืนสำหรับผู้ที่กินอาหารมื้อเดียวให้ดื่มหลังเที่ยงไปแล้ว ให้ค่อยๆจิบช้าๆ ต้องดื่มให้หมดก่อนค่ำเพราะจะทำให้ท้องอืด
ข้อควรระวัง
ข้อควรระวัง
น้ำแอปเปิล ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานมะเร็ง แผลในกระเพาะอาหาร ผู้ที่น้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemic)
ทางเลือกของคนที่ต้องห้ามดื่มน้ำแอปเปิลให้ดื่มน้ำส้มสายชูที่ทำจากแอปเปิล (แอปเปิลไซเดอร์) ครั้งละ 1 – 2 ช้อนชากับน้ำอุ่นครึ่งแก้ววันละ 4 ครั้ง ก่อนอาหาร 15 นาที
เพราะเหตุใดจึงควรล้างพิษตับเว้นระยะ3 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน เพราะหลังจากล้างพิษตับไปแล้วต้องใช้เวลาประมาณ2 สัปดาห์ นิ่วที่อยู่ด้านหน้าท่อไหลออกถูกขับออกแล้วนิ่วที่อยู่ด้านในจะไหลออกมาแทนที่ที่ปากท่อ (2 Hepatic ducts) หากเร่งเวลาทำเร็วไปจะมีีนิ่วออกน้อย เพราะนิ่วข้างในยังไม่ออกมา
เรื่องดีๆที่จะเกิดขึ้นหลังการล้างพิษตับ
สูตรการล้างพิษตับนี้เป็นวิธีการที่ประมาณค่ามิได้และเห็นผลประจักษ์จริง ๆ สำหรับการฟื้นฟูสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงสมบูรณ์และไม่เป็นภัยอันตรายใดๆ ถ้าทำตามคำแนะนำโดยละเอียดถี่ถ้วน ตับที่มีนิ่วหรือคอเลสเตอรอลมากเป็นสาเหตุส่วนใหญ่ให้เกิดโรคในร่างกายเพราะตับเสียหน้าที่การทำงาน ปกติตับทำหน้าที่คล่องแคล่วว่องไว มีประโยชน์มาก ทำหน้าที่ต่างๆในร่างกายมากกว่า250หน้าที่ มีผลถึงอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายนิ่วเป็นอุปสรรคกีดขวางให้เสียการทำงานของตับเมื่อเรากำจัดสิ่งกีดขวางการทำงานของตับออกแล้ว ทำให้ตับทำงานถูกต้องมีความสมดุลอย่างชันเจน ทำให้ร่างกายกลับสู่สภาพสมดุล กระปรี้กระเปร่า
หลังจากล้างตับไปแล้ว 1 ครั้งตับจะทำงานได้ผลดีกว่าเดิม ผู้ที่เจ็บป่วยจะสังเกตได้ทันทีภายในไม่กี่ชั่วโมง หากป่วยอยู่ความปวดน้อยลงกำลังเพิ่มขึ้นจิตใจปลอดโปร่งแจ่มใสกว่าเดิม อย่างไรก็ตามในไม่กี่วันนิ่วที่ล้างออกแล้วที่อยู่ในตับจะไหลออกมาแทนที่เราล้างออกไปและอาการไม่สบายอาจจะกลับคืนมา บางอาการหรือทั้งหมด อาจรู้สึกเสียใจเพราะว่าหายจากโรคชั่วคราวเพราะความไม่สบายที่กลับคืนมาอีก นั่นบ่งบอกว่าถึงเวลาที่ต้องล้างตับอีกแล้วแต่กระนั้น ระบบรักษาตัวเองของตับและสัญญาณการกำจัดพิษดีขึ้นกว่าเดิมทำให้อวัยวะภายในที่สำคัญนี้ ทำงานได้ผลดีมากขึ้น
สิ่งที่สำคัญมากที่เราต้องจำไว้
เมื่อไรที่เราล้างตับแล้วเราต้องล้างต่อเนื่องกันจนถึง 2 ครั้ง หรือติดต่อกันจนกว่าไม่มีนิ่วออกมาเลย ถ้าไม่ทำอย่างนี้ ปล่อยให้นิ่วที่ล้างไม่หมดอยู่ในตับมากกว่า3 เดือน ผู้ที่ป่วยจะมีความเจ็บป่วยที่อาจจะรุนแรงกว่าที่เราไม่เคยทำการล้างตับมาก่อนเลยให้ล้างพิษตับไปจนเห็นว่าตับเราไม่มีนิ่วแล้ว ควรทำการล้าง 6 – 8 เดือนต่อครั้ง ทุกครั้งที่ล้างตับจะส่งเสริมการทำงานของตับ และจัดการล้างพิษหรือนิ่วที่สร้างขึ้นมาใหม่ที่สะสมในตับจะทำให้ตับสมบูรณ์เต็มที่อยู่เสมอ
อาการที่เกิดขึ้นในช่วงล้างพิษตับหรือหลังล้างพิษตับ(ซ่านพิษ, พิษซ่าน, ลมตีขึ้น)
- อาการคลื่นเหียนอาเจียน ตอนล้างตับ เหตุเกิดจากนิ่วและพิษที่อยู่ในตับและถุงน้ำดีโดนบีบออกมาอย่างรุนแรงฉับพลันทันที และไปดันน้ำมันที่เราดื่มลงไปและน้ำดีในลำไส้ลอยขึ้นไปที่กระเพาะ
- แม้จะอาเจียนน้ำมันออกมา การล้างตับก็ยังประสบผลสำเร็จอยู่เพราะว่าน้ำมันไปทำหน้าที่ไปล่อให้นิ่วออกมาสำเร็จแล้ว
- วันรุ่งขึ้นหลังจากการล้างตับ ถ้ามีอาการวิงเวียนมึนศีรษะหรือคลื่นไส้ เหตุเกิดจากนิ่วไหล ออกจากตับเรื่อยๆและนิ่วที่ตกค้างอยู่ในกระแสเลือด ให้รีบทำดีท็อกซ์ช่วย อาการต่างๆ จะหายไป
- แม้จะอาเจียนน้ำมันออกมา การล้างตับก็ยังประสบผลสำเร็จอยู่เพราะว่าน้ำมันไปทำหน้าที่ไปล่อให้นิ่วออกมาสำเร็จแล้ว
- วันรุ่งขึ้นหลังจากการล้างตับ ถ้ามีอาการวิงเวียนมึนศีรษะหรือคลื่นไส้ เหตุเกิดจากนิ่วไหล ออกจากตับเรื่อยๆและนิ่วที่ตกค้างอยู่ในกระแสเลือด ให้รีบทำดีท็อกซ์ช่วย อาการต่างๆ จะหายไป
วิธีการบรรเทาอาการเพิ่มเติม
* อยู่ในความดูแลของผู้เชี่ยวชาญ เพื่อนวด กดจุด แก้อาการ
* อยู่ในความดูแลของผู้เชี่ยวชาญ เพื่อนวด กดจุด แก้อาการ
* ดื่มน้ำแอปเปิ้ลครึ่งแก้ว 30 นาที ก่อนอาหารเช้าทุกเช้า จนกว่าจะหมดอาการ
* ล้างลำไส้ซ้ำอีก (กินยาถ่าย เช่น ดีเกลือ) เพื่อไล่นิ่วที่ออกมาที่หลัง
* ดื่มน้ำขิงสดหั่นเป็นแว่น แช่ในน้ำร้อน ดื่มแทนน้ำ
* ดื่ม chamomile (เก็กฮวยฝรั่ง) วันละ 2– 3 แก้ว จะช่วยทำให้ระบบย่อยและระบบเส้นประสาทผ่อนคลาย
* ล้างลำไส้ซ้ำอีก (กินยาถ่าย เช่น ดีเกลือ) เพื่อไล่นิ่วที่ออกมาที่หลัง
* ดื่มน้ำขิงสดหั่นเป็นแว่น แช่ในน้ำร้อน ดื่มแทนน้ำ
* ดื่ม chamomile (เก็กฮวยฝรั่ง) วันละ 2– 3 แก้ว จะช่วยทำให้ระบบย่อยและระบบเส้นประสาทผ่อนคลาย
คำถาม-คำตอบ
คำถาม : การล้างลำไส้ (ดีท็อกซ์) มีผลข้างเคียงหรือไม่
คำตอบ : เท่าที่ได้ศึกษามาการล้างลำไส้ไม่มีผลข้างเคียง แต่อย่างไรก็ตามอาจจะเป็นไปได้ที่บางคนมีอาการจะเป็นหวัดหรือปวดหัวหลังจากล้างลำไส้ สารพิษที่เกาะอยู่ตามผนังลำไส้ใหญ่ยังไม่หมดและพิษส่วนน้อยถูกดูดซึมกลับเข้าไปในร่างกาย แต่จะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวแต่คนที่เป็นอย่างนี้ จะมีสุขภาพดีขึ้นมากถ้าทำต่อไป
คำถาม : การล้างลำไส้ (ดีท็อกซ์) มีผลข้างเคียงหรือไม่
คำตอบ : เท่าที่ได้ศึกษามาการล้างลำไส้ไม่มีผลข้างเคียง แต่อย่างไรก็ตามอาจจะเป็นไปได้ที่บางคนมีอาการจะเป็นหวัดหรือปวดหัวหลังจากล้างลำไส้ สารพิษที่เกาะอยู่ตามผนังลำไส้ใหญ่ยังไม่หมดและพิษส่วนน้อยถูกดูดซึมกลับเข้าไปในร่างกาย แต่จะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวแต่คนที่เป็นอย่างนี้ จะมีสุขภาพดีขึ้นมากถ้าทำต่อไป
ข้อควรระวัง :
ผู้ป่วยที่ไม่ควรล้างพิษตับ(ไม่ควรดื่มน้ำมันมะกอก+น้ำผลไม้ตระกูลส้ม)คือผู้ป่วยที่ไม่มีพลังชีวิต ตัวเหลือง ตาเหลืองท้องบวมโต เพลียมาก ควรงดและให้ล้างเฉพาะลำไส้จนกว่าจะมีพลังชีวิตเพียงพอ เพราะตับและอวัยวะต่างๆ ในร่างกายจะไม่มีพลังเพียงพอในการขับพิษอาจทำให้ช็อคได้
คำเตือน!!! ผู้ที่ไม่เคยล้างพิษตับมาก่อนเลยไม่ควรทำด้วยตนเอง เนื่องจากอาจมีอาการพิษซ่าน หรือ ซ่านพิษ ลมตีขึ้นควรล้างพิษตับภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญก่อน เมื่อมีประสบการณ์แล้วจึงสามารถนำไปทำเองที่บ้านได้ ระยะเวลาห่างครั้งละประมาณ 1 เดือนจากครั้งแรกโดยใช้หลักการ และสูตรเดียวกันกับครั้งแรก แต่อาจใช้ระยะเวลาสั้นลงเป็น 1 ½ วัน ก็ดื่มน้ำมันมะกอก+น้ำผลไม้ตระกูลส้ม ได้เลย ควรล้างพิษตับอย่างน้อย7 ครั้ง และที่ดีที่สุดคือ คนเราควรล้างพิษตับประมาณ 15 ครั้งในหนึ่งชีวิต ร่างกายจะมีสุขภาพสมบูรณ์เหมือนกลับไปเป็นหนุ่มสาวอีกครั้ง
การปฏิบัติตนหลังการล้างพิษตับ
หลังล้างพิษตับแล้ว ควรฟื้นฟูสภาพและบำรุงตับด้วยอาหารและเครื่องดื่มที่บำรุงตับอาทิ ขมิ้นชัน ขิง (น้ำขิง) เก๋ากี้ กะหล่ำปลี สาหร่ายสไปรูลิน่า แกงเห็ดสามอย่างลูกใต้ใบ หลีกเลี่ยงพฤติกรรมการกินดื่มที่ทำอันตรายต่อตับ
มาดื่มสมุนไพรล้างพิษกันคะ
กัวซาขูดพิษ
สปาหู
มาดื่มน้ำมันมะกอกกันคะ |
อาหารอร่อย ได้สุขภาพที่ดีกลับบ้านกันทุกคนคะ
ของเสียบางส่วนของผู้เข้าคอร์ส
*********************
สุขภาพดีกันทุกๆท่านนะคะ
" ล้างพิษเก่าออก ไม่เอาพิษใหม่เข้า "